ผ่านมาแล้ว 18 ปี สำหรับหนังไทยเรื่องเยี่ยม ที่อยู่ในใจของใครหลายๆ คน อย่าง โหมโรง ที่ทำวงการเครื่องดนตรีไทยตื่นตัว และทำให้หลายๆ คนหันมาสนใจการเล่นระนาดมากขึ้น และยังเป็นการแจ้งเกิดนักแสดงคุณภาพอย่าง โอ อนุชิต ที่ในช่วงนั้นเขากำลังโด่งดังสุดๆ จากภาพยนตร์เรื่อง 15 ค่ำเดือน 11 ล่าสุดหนุ่มโอ ก็ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวเล่าความหลัง เมื่อ 18 ปี กว่าจะได้มาเล่นหนังโหมโรง ต้องเจอกับอะไรมาบ้าง
ขณะที่กำลังถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง 15 ค่ำเดือน 11 อยู่นั้น ทีมงานโหมโรง (ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีชื่อเรื่อง)ก็โทรติดต่อมา ว่ายังสนใจโปรเจ็คนี้อยู่ไหม?
หลังจากที่แคสติ้งไปแล้วเป็นปีครับ มาทราบภายหลังว่า ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา อยู่ในช่วงการค้นหานักแสดงที่จะมารับบทนายศร ระหว่าง แคสนักระนาดมาฝึกการแสดง หรือ จับนักแสดงมาฝึกระนาด
พี่ๆ ทีมงานเล่าให้ฟังว่า เดินทางตามหานักระนาดทั่วประเทศ มาแคสติ้ง
แต่ในที่สุด บทนี้ก็เหมาะกับคนที่ใช่เท่านั้น!!! ฮ่าๆๆๆ
ซึ่งนักแสดงที่ผ่านการทดสอบรอบแรก ต้องมาทดสอบความเป็นไปได้ที่จะตีระนาด อีกรอบนึง และในที่สุด บทนี้ก็เหมาะสมกับคนที่ใช่เท่านั่น!!! ฮ่าๆๆๆ
ในที่สุด… พอ!!!!!
หลังจากผ่านการเรียนระนาดหลายเดือนก่อนเปิดกล้อง วันถ่ายทำฉากที่ต้องตีระนาดครั้งแรก ก็มาถึง…
เทค! ไม่ซิงค์!
เทค! หน้าเครียดไป!
เทค! เกร็งไป!!
เทค! ตีให้ดูง่ายกว่านี้!
และ เทค! เทค! เทค!
ถ้าเป็นฉากที่ต้องเล่นดนตรีไทย จะมีครูเอ้ Asdavuth Sagarik เป็นที่ปรึกษาด้านดนตรีไทย มาคอยดูว่าถูกต้องหรือไม่ จำได้ว่าวันนั้น โอเครียดมาก มันไม่เป็นไปอย่างที่คิดไว้ ไม่กล้ามองหน้าทีมงาน ไม่กล้ามองหน้าพี่อิทธ โอทำเค้าเสียเวลารึเปล่า? เค้าน่าจะเปลี่ยนตัวโอแน่ๆ
แต่ในที่สุด!!!
บทนี้ก็เหมาะสมกับคนที่ใช่เท่านั้น!!!
ฮ่าๆๆๆ
ผ่านไปหลายวัน พี่อิทธ เอาฉากประชันครั้งแรกที่ตัดต่อเสร็จแล้วมาให้ดู (ฉากที่นายศรต้องไปตีฆ้องวงตอนต้นน่ะครับ) โอ ยืนดูอยู่ห่างๆ เพราะไม่กล้าดูตัวเองชัด แต่ยังจำความรู้สึกได้เป็นอย่างดีครับ
นั่นคือโอเหรอ!? โหหหหห…ทำไมตีระนาดเก่งขนาดนั้น
เท่ห์มากๆๆ เท่ห์สุดๆๆไปเลยยย
ทันใดนั้นโอก็เข้าใจทันทีว่า “ในโลกการแสดง เราจะเป็นอะไรก็ได้!!!”
รักจากวันนั้น โอก็รักการแสดงมากๆไปเลยครับ ในการถ่ายทำต่อมา ปัญหาต่างๆก็ยังมีอยู่บ้าง เพียงแต่ว่า คราวนี้โอรู้และเข้าใจแล้วว่า ในโลกภาพยนตร์ โอจะเป็นใครก็ได้ และที่สำคัญที่สุด
บทนี้ก็เหมาะสมกับคนที่ใช่เท่านั้น!!!
ปล. โชคดีที่ตอนนั้น ยังไม่มีคนที่เหมาะสมกว่าโอ ขอบคุณที่อะไรก็ตามแต่ทำให้ทีมงานหาคนๆนั้นไม่เจอนะครับ
รูปนี้ถ่ายตอนแคสติ้งครับ
โหมโรง เป็นภาพยนตร์ไทยในปี พ.ศ. 2547 ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับดนตรีไทย เนื้อเรื่องได้แรงบันดาลใจมาจากประวัติของหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง)
เหตุการณ์เริ่มขึ้นราวพุทธศักราช 2429 ในประเทศสยาม ศร เด็กหนุ่มที่มีความผูกพันกับดนตรีไทยมาตั้งแต่เกิด ได้รับการถ่ายทอดฝีมือในการตีระนาดเอกจาก ครูสิน ผู้ซึ่งเป็นทั้งบิดาและครูสอนดนตรีไทย ผู้มีปมในชีวิต หลังการสูญเสียพี่ชายของศรผู้ซึ่งถูกนักเลงระนาดคู่ปรับฆ่า เป็นเหตุให้ครูสินตัดสินใจหยุดการสอนดนตรีไทยลง แต่ด้วยคำเตือนสติจากหลวงพ่อ ทำให้ครูสินกลับมาสอนดนตรีไทยอีกครั้ง เพื่อไม่เป็นการปิดกั้นโอกาสและการพัฒนาพรสวรรค์ในการตีระนาดของศร ศรจึงได้รับการถ่ายทอดฝีมือตีระนาดจากบิดา และมีทิว เพื่อนสนิทที่คอยช่วยเหลือมาตลอดเวลา
ศร กลายเป็นดาวเด่นในเชิงระนาดเมื่อก้าวเข้าสู่วัยหนุ่ม ฝีมือของศรยากหาใครทัดเทียมในอัมพวา หลังจากชนะประชันครั้งแล้วครั้งเล่า ศรจึงเกิดความลำพองในฝีมือของตนเอง จนเมื่อศรเดินทางเข้ามายังบางกอก เขาพ่ายแพ้เป็นครั้งแรกต่อขุนอิน ผู้มีฝีมือการเล่นระนาดในระดับสูง และมีทางระนาดที่ดุดัน ศรกลายเป็นคนที่สูญเสียความภาคภูมิใจในตัวเอง แต่เขาก็กลับมามุมานะฝึกปรือฝีมืออีกครั้ง และคิดค้นทางระนาดแบบใหม่ที่ไม่ซ้ำใคร จนในที่สุด ศรก็ได้รับการอุปถัมป์ให้เป็นนักดนตรีประจำวังบูรพาภิรมย์ของสมเด็จฯ และได้พบกับ แม่โชติ สตรีผู้สูงศักดิ์ที่กลายมาเป็นคู่ชีวิตของศรในเวลาต่อมา
ในที่สุด หลังจากผ่านการบ่มเพาะทั้งฝีมือและจิตใจจากครูเทียน ครูดนตรีมีฝีมือที่สมเด็จฯจัดหามาเพื่อดูแลฝึกสอน ศรก็สามารถมีชัยเหนือขุนอินได้สำเร็จ ล่วงเข้าสู่วัยชราของศร เขากลายเป็นครูดนตรีอาวุโสที่มีลูกศิษย์มากมาย ขณะที่บ้านเมืองเข้าสู่ยุคของการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม ในยุครัฐบาลทหารของ จอมพลป. ซึ่งมีนโยบายปรับปรุงประเทศให้มีเป็นอารยะตามแบบตะวันตก และออกระเบียบมาปิดกั้นควบคุมศิลปะแขนงต่างๆ รวมทั้งดนตรีไทย โดยมี พันโทวีระ นายทหารหนุ่มที่รับหน้าที่ดูแลนโยบายดังกล่าว ครูศร ผู้ผ่านการแข่งขันแพ้-ชนะมานับครั้งไม่ถ้วน จึงต้องพบกับช่วงบั้นปลายชีวิตอันปวดร้าว ในวันที่ดนตรีไทยถูกคุกคามจากผู้มีอำนาจ
เป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ไทยที่กวาดรางวัลต่างๆ ไปอย่างมากมาย
รางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ ครั้งที่ 14 ประจำปี พ.ศ. 2547
ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
ผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
กำกับภาพยอดเยี่ยม
ลำดับภาพยอดเยี่ยม
นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (อดุลย์ ดุลยรัตน์)
บันทึกเสียงยอดเยี่ยม
รางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี ครั้งที่ 27 ประจำปี พ.ศ. 2547
ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
ผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
กำกับภาพยอดเยี่ยม
ลำดับภาพยอดเยี่ยม
นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (อดุลย์ ดุลยรัตน์)
บันทึกเสียงยอดเยี่ยม
ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม
เพลงนำภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (เพลง’อัศจรรย์’)
แต่งหน้ายอดเยี่ยม
รางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิง ครั้งที่ 13 ประจำปี พ.ศ. 2547
ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
ผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
ลำดับภาพยอดเยี่ยม
นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (พงษ์พัฒน์ วชิระบรรจง)
ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม
รางวัล Audience Award (Popular Vote) จาก Miami International Film Festival 2005
ตัวแทนภาพยนตร์จากประเทศไทย ส่งประกวด รางวัลออสการ์ ครั้งที่ 77 สาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศ
ได้รับเลือกเป็น 1 ใน 70 เรื่อง สุดยอดภาพยนตร์ไทยในสมัยรัชกาลที่ 9 เมื่อปี 2561
ได้รับการขึ้นทะเบียน มรดกภาพยนตร์ของชาติ เมื่อปี 2556