คุยแซ่บshow คุยแซ่บโชว์ แอม เสาวลักษณ์

เปิดใจครั้งแรก! แอม เสาวลักษณ์ ป่วยโรคซึมเศร้า 3 ปี ยันไม่ได้สร้างกระแสโรคฮิตดารา

แอม เสาวลักษณ์ นักร้องดีว่าแถวหน้าของเมืองไทย เปิดใจครั้งแรกป่วยซึมเศร้ารักษาตัวมานานกว่า 3 ปี

Home / Entertainment / เปิดใจครั้งแรก! แอม เสาวลักษณ์ ป่วยโรคซึมเศร้า 3 ปี ยันไม่ได้สร้างกระแสโรคฮิตดารา

แอม เสาวลักษณ์ นักร้องดีว่าแถวหน้าของเมืองไทย เปิดใจครั้งแรกถึงอาการป่วยเป็นโรคซึมเศร้า หลังรักษาตัวมานานกว่า 3 ปี ในรายการ คุยแซ่บShow ทางช่องOne31 ที่มี พีเค ปิยะวัฒน์ และ เป็กกี้ ศรีธัญญา เป็นพิธีกร เจ้าตัวลั่นไม่ได้เป็นโรคฮิตของดารา คาดมีอาการตั้งแต่เด็ก พร้อมยืนยันไม่เคยคิดสร้างกระแส ลุยอาชีพใหม่เยียวยาจิตใจจากนักร้องสู่จิตรกรงานศิลปะ

ไม่เคยรู้มาก่อนว่าพี่เป็นโรคซึมเศร้า
แอม : พี่ก็ไม่รู้มาก่อนเหมือนกันจนกระทั่งไปหาหมอ

ตอนนี้พี่รู้มาได้นานเท่าไหร่แล้ว
แอม : ต้องบอกก่อนว่าคนที่โตมาแบบพี่ สมัยรุ่นพี่มันก็จะไม่มีหรอกจิตแพทย์ จะเรียกว่าคนบ้าอย่างเดียว จะถูกแปะป้ายว่าเด็กมีปัญหา ครอบครัวแตกแยกก็จะเป็นอย่างนี้แหละ คนอื่นเขาว่าเราเป็นศิลปินติสต์แตก อารมณ์วูบวาบ จริงๆ แล้วสมัยก่อนถ้ามีแผนกจิตเวชหรือมีชื่อเรียกโรคพวกนี้ก็คงจะรู้เร็วกว่านี้

อะไรทำให้พี่รู้ว่าพี่เป็นโรคซึมเศร้า
แอม : คือพี่ไม่ยอมไปหาหมอเลยนะ พี่ก็เข้าใจว่าพี่ติสต์แตก แต่ว่าคนรอบข้างคนสนิท ก็ไม่ได้มีแต่เรามันมีคนที่เขาเคยเป็นมาก่อนด้วย แล้วก็มีอาการผีเห็นผีด้วย คือเขาเห็นเราแล้วเขารู้สึกว่าพี่น่าจะไปหาหมอ พี่ก็ไม่ไปเพราะพี่ไม่อยากกินยา มันไม่สนุกเพราะมันต้องกินยาวด้วย ก็ไม่เชื่อและไม่ไป เป็นปี มันก็ลำบากนะเพราะเราทำงานบันเทิง แล้วมันเกิดอาการที่เรียกแพนิคแอทแทค

ขนาดไหนเวลาเกิดแพนิคแอทแทค
แอม : พี่บอกแล้วจะไม่มีใครเชื่อพี่เลย มันจะเป็นปัญหากับคนทำงานเบื้องหลังแบ็คสเตจ พี่แอมเป็นอะไร พี่ร้องเพลงมาตั้งแต่เด็กแล้ว พี่เป็นอะไร ทำไมก่อนจะขึ้นคอนเสิร์ตพี่แอมมีอาการไมค์เปียกหมดเลย แต่พี่ก็ไปค้นคว้ามาแล้วว่านักร้องระดับโลกก็เป็นอย่าง บาร์บรา สไตรแซนด์ ก็เป็น

แล้วพี่แอมต่อสู้กับอาการกลัวก่อนจะขึ้นเวทีได้ยังไง อาการแพนิค แอทแทค
แอม : ในที่สุดแล้วสิ่งที่ทำให้พี่ตัดสินใจว่าหรือเราควรไปหาหมอ อะไรที่เป็นอารมณ์หรือนามธรรมพี่จะไม่เชื่อเลย จนมันมาเป็นสิ่งที่จับต้องได้เป็นรูปธรรมจริงๆ ที่ทำให้เราตกใจก็คือพี่ขับรถไม่ได้ เพราะพี่เป็นคนชอบขับรถตั้งแต่วัยรุ่น เมื่อก่อนพอมีเรื่องไม่สบายใจ เราชอบขับรถเล่นตามชานเมือง เปิดหน้าต่าง หรือเปิดเพลง อาจจะไปชายทะเล

แต่พี่คือขับรถไม่ได้
แอม : ขับได้แต่ไม่รู้จะจอดเมื่อไหร่ สิ่งที่มันทำลายความมั่นใจของพี่มากก็คือ บ้านพี่อยู่ใกล้ๆ เซ็นทรัลบางนา อาจจะขับไปเซ็นทรัลได้ แต่ขากลับเรียกคนมารับ

มันกลัว มันมือสั่น มันตื่นตระหนกเวลาเห็นรถวิ่งผ่านหรือยังไง
แอม : ที่สำคัญไม่รู้ว่ามันจะแอทแทคตอนไหน ตอนออกจากบ้านเราอาจจะสบายดี เราไม่เป็นไร แต่พอมันแอทแทคโดยที่มันไม่ได้เตือนเราก่อน มันมีความรู้สึกว่ารถทุกคันจะชนเรา แล้วเราหยุดเลย จอดเดี๋ยวนี้ขับต่อไม่ได้ ถ้าไม่มีใครก็ต้องหายใจ ต้องช่วยเหลือตัวเองให้มันกลับบ้านได้ มันทำให้เราขาดความมั่นใจ

พี่เป็นมานานเท่าไหร่แล้ว
แอม : พี่ไม่ได้ขับรถเองตั้งนานแล้วนะ แต่ตอนนี้ตั้งแต่หาหมอมาขับได้แต่อย่าไปไกลบ้าน

เห็นบอกว่านี่ไม่ใช่อาการแรกอาการเดียว เห็นบอกว่าไม่อาบน้ำก็มี ไม่ทำอะไรเลยก็มี นั่งดูต้นไม้โดยที่ไม่รดน้ำแล้วก็ปล่อยให้ต้นไม้ตายก็มี
แอม : จริงๆ พี่เป็นคนรักต้นไม้มาก อยู่มาวันหนึ่งพี่นั่งตรงระเบียงที่บ้านที่นั่งประจำ แล้วต้นไม้ก็เหี่ยวลงทุกวัน จริงๆ วิธีแก้มันง่ายนิดเดียว แค่ลุกไปเปิดก๊อกแล้วก็เอาสายยางไปรดน้ำมัน มันก็ไม่ตายแล้ว

แต่เราก็ไปไม่ไหวหรอ
แอม : ไม่ใช่ไปไม่ไหว มันไม่รู้ว่าทำไมไม่ไปไม่รด เห็นต้นไม้ที่เรารักตายก็รู้สึกแย่ กับการแก้ที่ง่ายแค่นิดเดียว รู้สึกแย่ก็ไปรดน้ำมันสิ มันก็รอดแล้วไง ไม่ทำ ปล่อยให้มันกรอบตาย น้ำก็สามารถไม่อาบ 3 วัน เคยกดรีโมททีวีไปเรื่อยๆ ถามว่าสนุกไหม ไม่รู้

เห็นว่าทักษะทางดนตรีอยู่ๆ เล่นไม่ได้ก็มี
แอม : ใช่ อยู่ๆ ก็ป๊อดขึ้นมา อย่างกีต้าร์เราไปดูคลิปคอนเสิร์ตเก่าๆ เราเคยเล่นกีต้าร์ไปด้วย ร้องไปด้วย มาถึงตอนนี้ไปยังไง ทำยังไง นึกไม่ออก มันเป็นความรู้สึกเล่นไม่ได้ เล่นยังไง หลังจากที่หาหมอรักษามา 3 ปีแล้วก็ดีขึ้น

พี่บอกว่ารักษามา 3 ปี แสดงว่าโรคนี้พี่เป็นมามากกว่า 3 ปี ตอนนั้นเราอยู่กับโรคนี้นานเท่าไหร่
แอม : ทุกๆ ครั้งที่เราไปหาหมอ ก่อนจบก็จะถามหมอว่าหายหรือยัง เมื่อไหร่จะหาย หมอก็จะบอกว่ามันต้องใช้เวลา พอเราถามบ่อยๆเข้า ในที่สุดหมอก็บอกว่าเอาจริงๆ ที่คุณแอมเป็น ไม่น่าจะเพิ่งเป็น น่าจะเป็นตั้งแต่เด็กๆ น่าจะเป็นตั้งแต่คุณพ่อคุณแม่หย่ากันหรือสภาพอะไรที่โตมา แต่สมัยพี่เด็กๆ มันไม่ได้มีจิตแพทย์เด็กเหมือนสมัยนี้ทันสมัย

พอหมอบอกเราอย่างนั้น ใจเรายอมรับไหมหรือใจเราต่อต้าน
แอม : พอเรามองย้อนกลับไป เออว่ะ แต่เราไม่รู้ไม่ได้มีแม้แต่ชื่อเรียก อย่างคนแก่เดี๋ยวนี้เขาเรียกอัลไซเมอร์ ถ้าเมื่อก่อนก็เรียกหลงๆลืมๆ มันไม่มีชื่อเรียก ไม่มียารักษา ไม่มีหมอ ถ้าไปหาหมอก็คือบ้า

คนที่เขามาทักพี่แอม คนที่เขาป่วยอยู่แล้ว แล้วเขามาทักพี่ว่าเป็นตอนนั้นพี่รู้สึกยังไงกับโรคซึมเศร้า
แอม : สิ่งหนึ่งที่มันมารบกวนจิตใจพี่มากกว่าโรคซึมเศร้าก็คือ มันมีโรคนี้อยู่จริง มันมีคนที่เป็นอยู่จริง และมันก็มีคนที่อาจจะไม่ได้เป็นแต่อยากเป็น ภาพมันก็เลยเละไปหมด ถูกเหมารวมไปหมด ผู้ป่วยจริงๆ ก็เลยไม่อยากพูด ไม่อยากบอกใคร ถามว่าปิดไหม ไม่ได้ปิด ช่วยใครได้ก็ช่วยเป็นวิทยาทานให้ใครได้ก็ช่วย เรารู้สึกว่าเราแบกความป่วยไข้อยู่แล้ว เราไม่อยากแบกคำคนอีกว่า โรคดาราหรืออะไรที่เรารู้สึกไม่ดีอยู่แล้ว เราไม่อยากถูกเหมาว่าใช้เป็นข้ออ้างกันเยอะ เป็นโรคซึมเศร้า แต่ไม่ได้หมายความว่าเราอาย แต่เราเบื่อดราม่าแล้วเราไม่อยากจะแบกความเห็นอันนี้อีก

สิ่งหนึ่งเลยที่ผู้ป่วยซึมเศร้าเป็นเหมือนกันคือไม่อยากอยู่บนโลกใบนี้แล้ว พี่แอมเคยมีอาการนั้นไหม
แอม : หมอถามอยู่บ่อยๆ สำหรับพี่นะ หมอถามว่าเธออยากฆ่าตัวตายไหม พี่ตอบว่าไม่ใช่ แต่ว่ามันอาจจะฟังยากหน่อย คือไม่อยากตาย แต่ไม่รู้จะอยู่ทำไม มันเหมือนเราติดอยู่ในร่องอะไรไม่รู้ ฆ่าตัวตายก็เป็นบาป แล้วเราก็ไม่ได้คิดจะทำแบบนั้นกับตัวเอง ตอนที่มันเป็น มันไร้เหตุผลที่จะอยู่ ไม่รู้จะอยู่ทำไม ตายก็ไม่ได้ อยู่ก็ไม่ดี ไม่ได้คิดอยากมีค่าสำหรับใครด้วยนะ ไม่ได้อยากยุ่งกับใคร ไม่ต้องการให้ใครมาสนใจ

แล้วเวลาพี่จะขึ้นคอนเสิร์ตเวลามันเกิดแพนิค แอทแทค พี่ทำยังไงที่จะก้าวขึ้นไปเอ็นเตอร์เทนคนดูต่อได้
แอม : กินยาสิ มันก็ไม่ได้เป็นทุกครั้ง ครั้งไหนที่หมอรู้สึกว่ามันไม่ทันแล้วก็ให้ทานยา พี่ลองมาหมดแล้ว ทั้งนั่งสมาธิสวดมนต์ แต่พอตอนที่มันแอทแทคหนักๆ อะไรก็เอาไม่อยู่ มันไม่สามารถเข้าสมาธิได้

ตอนนั้นอะไรเกิดขึ้นที่ทำให้เราตัดสินใจไปหาหมอ
แอม : ก็อาการอย่างที่บอก สิ่งที่เคยทำไม่ทำ ดนตรีเล่นไม่ได้อยู่ดีๆ ก็ป๊อด เล่นเปียโนก็ไม่ได้ เล่นกีต้าร์ก็ไม่เป็น ซึ่งมันไม่เป็นความจริง แล้วมันเริ่มมีผลต่ออาชีพและชีวิตของเรา มันเริ่มมีผลกระทบกับงานเอ็นเตอร์เทนมันขัดแย้งกันอย่างรุนแรง แล้วมันส่งผลให้เราเหนื่อยมากขึ้นไปอีก มันบ่อนทำลายเรา บ้านพี่แรกๆ พร้อมถ่ายลงนิตยสาร พออยู่มาวันหนึ่งก็เละ อะไรไว้ตรงไหนก็ไม่รู้ ถ้าพี่ไม่ป่วยพี่จะไม่ยอมให้บ้านพี่ไม่สวย

พี่เป็นคนแต่งเพลงได้เก่งมาก เพลงเศร้าโดนใจมาก มันเป็นเพราะเราแต่งเพลงเศร้าด้วยหรือเปล่า มันถึงพาเราไปที่ความรู้สึกแบบนั้น
แอม : ไม่ใช่หรอก เพลงสนุกพี่ก็เขียน แต่มันไม่ใช่เพลงโปรโมทไง

โรคนี้เราสามารถรักษาหายได้ไหม
แอม : พี่หวังว่า พอไปหวังมันก็มีความกดดันตัวเองอีกหรือเปล่าไม่รู้ ความอยากหายมันก็ทุรนทุรายเหมือนกันนะ ในที่สุดพี่ก็คิดว่าอยู่กับมันได้ไหม ยอมรับมันได้ไหม ขั้นแรกต้องยอมรับก่อนว่าเราไม่สบาย ถ้ายอมรับไม่ได้เราจะทุรนทุราย เราจะพิการซ้ำซ้อน ป่วยอยู่แล้วและมีความทุกข์จากที่เราป่วยอีก มันจะเหมือนพิการซ้ำซ้อนไปอีก ตอนนี้คุณหมอก็ยังใช้คำว่ามันต้องใช้เวลาอยู่

พี่ว่าสุดท้ายถ้าจะหายได้จริงๆ หายได้ด้วยใจหรือด้วยยา
แอม : ของพี่ต้องทั้งคู่ จริงๆ ตอนแรกมันกำลังดีขึ้นอยู่แล้ว พอเราเป็น จิตใจเราก็จะเริ่มจำได้ เหมือนกับเราเป็นโรคกระเพาะ ไม่ได้หายหรอก แต่เหมือนเราดีลกับมันได้ เช่น ถ้าเราเป็นโรคกระเพาะ เราก็จะเลี่ยงของเผ็ดและสิ่งที่มันทำให้เราปวดท้อง เรื่องของสุขภาพจิตก็เหมือนกันเราก็จะเลี่ยง เช่นคบใครแล้วเปลืองยา เราก็เลิกคบ

ตอนนี้รักษามาแล้ว 3 ปี ณ ตอนนี้อาการเป็นยังไงบ้าง ก่อนเข้ารายการมีอาการมือสั่นไหม
แอม : ไม่มี เพราะวันนี้ไม่ได้ร้องเพลงไง วันไหนที่ต้องร้องเพลงไมค์เปียก ถึงจะเป็นเพลงที่ร้องมาแล้วเป็นหมื่นครั้งก็ยังไมค์เปียก

เราควรจะสังเกตตัวเองยังไง
แอม : ชื่อโรคนี้จริงๆ แล้วมันควรจะเปลี่ยน มันไม่ใช่เศร้าอย่างเดียว มันมีหลายอาการ มันมีกลัว มีทั้งขี้โมโห ปิดตัวเอง ไม่อยากเจอใคร ไม่อยากพูดกับใคร เพราะฉะนั้นโรคนี้มันไม่ใช่จำกัดอยู่แค่คำว่าเศร้า เพราะพี่ไม่ได้เศร้า แต่พี่กลายเป็นทุพพลภาพบางอย่าง ทำอะไรที่ตัวเองเคยทำไม่ได้ มันเกิดความผิดปกติขึ้น แล้วมันชัดเจนในที่เห็นได้และจับต้องได้

โรคนี้คนเป็นกันเยอะมาก พี่แอมอยากให้กำลังใจคนที่ฝ่าฟันสุขภาพจิตของตัวเองให้ดีขึ้นบ้างไหม
แอม : พี่ว่าโควิดมันก็มาซ้ำเติม คนที่สุขภาพจิตดีปกติอยู่แล้วตอนนี้ก็แย่กันหมด ส่วนคนที่สุขภาพจิตแย่อยู่แล้ว หรือมีปัญหาอยู่แล้วมันจะไม่แย่หรอ การที่คนที่ไม่สบายแบบนี้ พี่จะไม่บอกว่าสู้ๆ เพราะมันไม่สู้ หรือบอกว่าเดี๋ยวก็หาย มันก็ตอบไม่ได้อีกว่าหายไหม พี่บอกได้อย่างเดียวว่าเข้าใจนะ สามารถเป็นกำลังใจให้ได้ ถ้าไม่มีใครคุยด้วย พี่ไม่ได้แอทแทคตลอด เวลาที่พี่ให้ความช่วยเหลือคนอื่นได้ พี่ก็ยังมีศักยภาพอยู่ พี่ก็ยังมีความเต็มใจที่คุยได้ ทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่ เพื่อนก็ยังโทรมา ขั้นแรกสังเกตตัวเองก่อน อย่าโกหกตัวเอง ถามตัวเองก่อนว่านี่เราเรียกร้องตัวเองหรือเปล่า เรารู้สึกว่ามันไม่ไหวจริงๆ หรือเราแค่กระทืบเท้าไม่ให้ใครขัดใจ เอาแต่ใจ เพราะมันแยกยากนะ คนที่จะแยกได้คือตัวเรา ถามตัวเองให้แน่ว่ามันเรื่องอะไรแน่ อย่าหลอกตัวเอง

ศิลปะเยียวยาจิตใจเราด้วยไหม
แอม : ต้องขอบคุณคุณหมอทั้งทางโลกและทางธรรม ที่ทำให้กลับมาจับพู่กันวาดรูปได้อีกครั้ง ก่อนหน้าที่จะกลับมาวาดรูปมันเกิดการไม่กล้า ตอนหลังที่วาดขึ้นมาได้อาจจะเพราะเรารักษาตัว มันก็ดีขึ้น ตอนนี้กลับมาปลูกต้นไม้แล้ว

ติดตามชมรายการ คุยแซ่บShow ทุกวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา13.40-14.40 น. ทางช่อง one31 Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama