คุยแซ่บshow คุยแซ่บโชว์ บี วรรณิศา

ชีวิตยิ่งกว่าละคร! บี วรรณิศา 50 ปีเพิ่งเคยเห็นพ่อแท้ๆ ยอมหมดตัวหลายสิบล้านรักษาลูกสาว

อดีตนางเอกดัง บี วรรณิศา เปิดเผยชีวิตที่ต้องโบกมือลาวงการ เพราะลูกสาวป่วยด้วยโรคตับแข็งตั้งแต่ยังเป็นทารก

Home / Entertainment / ชีวิตยิ่งกว่าละคร! บี วรรณิศา 50 ปีเพิ่งเคยเห็นพ่อแท้ๆ ยอมหมดตัวหลายสิบล้านรักษาลูกสาว

อดีตนางเอกดัง บี วรรณิศา มาพร้อมลูกชาย ไบรอัน เปิดเผยชีวิตที่ต้องโบกมือลาวงการ เพราะลูกสาวป่วยด้วยโรคตับแข็งตั้งแต่ยังเป็นทารก ค่ารักษาพยาบาลหลายสิบล้าน ลูกสาวเกือบเสียชีวิตมาแล้ว 2 ครั้ง ผ่าตัดปลูกถ่ายตับของพ่อให้ลูกสาว พร้อมทั้งเล่าชีวิตเหมือนละคร บี วรรณิศา เพิ่งเคยเห็นหน้าพ่อแท้ๆ ที่พลัดพรากกันมานานกว่า 50 ปี แต่เจอช้าไปคุณพ่อเสียไปแล้ว 10 ปี ซึ่งเจ้าตัวมาเปิดใจผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ทางช่องวัน31 ที่มี หนิง ปณิตา, ชมพู่ ก่อนบ่าย และ อาจารย์เป็นหนึ่ง เป็นพิธีกรดำเนินรายการ

สถานการณ์โควิดเป็นยังไงบ้าง?
บี : เล่นเอาจิตตกนะคะ คือครั้งนี้อาจจะเป็นเพราะว่ามันรุนแรงมาก ไม่ใช่แค่ประเทศเราที่เดียว มันไปทั่วโลก

จิตตกถึงขั้นไหน?
บี : ระแวงเลย พี่ไม่ออกจากบ้าน 4 เดือนแล้ว มันค่อนข้างผวานิดนึง พอได้ยินใครไอ เราก็จะกลัวแล้ว ต้องพกเจลแอลกอฮอล์ ใส่หน้ากาก 2 ชั้นตลอดเวลาที่ออกจากบ้าน ด้วยอะไรหลายๆ อย่างในครอบครัวที่เราจะต้องดูแล เพราะฉะนั้นเราต้องเซฟตัวเองให้แข็งแรง ให้ไม่พลาดตรงจุดไหนเลย ให้พลาดน้อยที่สุด
ไบรอัน : ผมก็เป็นครับ ไม่ได้ไปไหนเลย อยู่บ้านอย่างเดียวเลย

พี่บีกลับมารับงานในวงการบันเทิงด้วย?
บี : ใช่ค่ะ พี่บีกลับมาเล่นละคร หลังจากที่ลูกเรียนจบแล้วทั้ง 2 คน เรื่องแรกฉายจบไปแล้ว เรื่องที่สองกำลังฉายอยู่ พอกลับมาก็มาเจอสถานการณ์โควิด รุ่นแรก รุ่นสอง รุ่นสาม มันก็ถ่ายไป หยุดไป

ครอบครัวมีการปรับตัวยังไงบ้าง?
บี : ครอบครัวพี่บีไม่ต้องปรับตัวมาก ปรับตัวมากขึ้นคือเรื่อง ระวังแบบขั้นสูงสุด

เราใช้คำว่าเราต้องใส่แมสก์ไปทั้งชีวิต?
บี : ก็คงจะเป็นอย่างนั้น ถ้าจะให้ปลอดภัย โดยทั่วไปถ้าสถานการณ์โควิดมันดีขึ้น ความระวังถามว่าลดน้อยลงไหม ก็ไม่ควรลดน้อยลงนะคะ

หายจากวงการ 15 ปี เพราะน้องโรสป่วยตับแข็ง?
บี : รู้ตอนน้องอายุ 2 เดือน คือเวลาน้องอึจะเป็นสีเทาๆ เหมือนสีควันบุหรี่ มันจะไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ปัสสาวะออกมาก็จะเป็นสีชาแก่ๆ เราก็พาลูกไปปรึกษาหมอ คุณหมอบอกว่าน่าจะเป็นตับหรือว่าไต พอเช็คปรากฎว่าท่อจากตับไปถุงน้ำดีมันตัน ของเสียจากตับมันไปที่ถุงน้ำดีไม่ได้ มันก็คลั่งอยู่ในตับ พอตับปล่อยของเสียไม่ได้ มันก็ค่อยๆ แข็ง จนในที่สุดมันก็แข็งจนอยู่ไม่ได้

ตอนอัลตร้าซาวด์กับคุณหมอ ภาวะนี้มันแสดงผลได้ไหม?
บี : ไม่แสดงค่ะ ณ ตอนนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าสาเหตุคืออะไร ว่าทำไมเด็กถึงเป็น

คุณหมอบอกไหมว่าวิธีการรักษาเป็นยังไง?
บี : คุณหมอที่รามาตัดสินใจว่าลองผ่าตัด ฉีดสีเข้าไปดู เผื่ออะไรที่บล็อกอยู่มันจะหลุด แล้วก็เส้นเลือดหรืออะไรมันจะได้เปิด ก็ตัดสินใจผ่า เพราะถ้าไม่ผ่าลูกมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน 1 ปี มันไม่มีทางเลือก พอผ่าแล้วมันไม่สำเร็จ คุณหมอบอกว่ามีวิธีเดียวต้องเปลี่ยนตับ แต่ว่าเมืองไทย ณ ตอนนั้นเครื่องไม้เครื่องมือ ด้วยอะไรก็แล้วแต่ยังทำไม่ได้ คือทำได้แต่ความประสบความสำเร็จมันยังน้อย คุณหมอก็แนะนำว่าให้เดินทางไปเปลี่ยนที่ต่างประเทศ แต่ว่าคุณหมอไม่มีคอนเน็คชั่น เราต้องติดต่อเอง ก็ได้ติดต่อที่สหรัฐอเมริกา

ตอนน้องช็อก เกือบเสียชีวิต เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น?
บี : ที่เกือบช็อก เพราะว่าหลังจากผ่าตัดครั้งแรกมันไม่สำเร็จ ของเสียมันออกไม่ได้ มันก็คลั่งอยู่ในท้อง ท้องน้องบวมมาก หมอเลยเจาะท้อง เจาะของเสียออก ปรากฏว่าพวกแคลเซียม วิตามิน มันออกไปด้วย ลูกพี่บีก็ตาค้างมองข้างบน มองแบบจะไปแล้ว เกร็งไปหมดแล้ว คุณหมอเลยตัดสินใจเย็บปิดแผล มันจะบวมก็ให้มันบวม ให้หาที่ไปรักษาตัวให้เร็วที่สุด พอรู้ว่าที่สแตมฟอร์ดเขารักษาได้ เราก็จองเดี๋ยวนั้นเลย ตัดสินใจหอบรถจากโรงพยาบาลไปขึ้นเครื่อง 4 คน พ่อ แม่ ลูก เสื้อผ้าชุดเดียว ไม่ได้เตรียม

การเดินทางต้องดูแลขนาดไหน?
บี : ต้องมีคุณหมอไปด้วย เขาบังคับเลย จะต้องมีคุณหมอ จะต้องซื้อถังอ๊อกซิเจน ซื้อตั๋วที่นั่งสำหรับถังอ๊อกซิเจน 1 ที่ ต้องมีคุณหมอประกบ ไม่งั้นสายการบินเขาไม่รับ ไปถึงสนามบินซานฟราน เราก็ไม่ได้ลงจากเครื่องเลย รถโรงพยาบาลที่นู่น เขาก็มารับ เจ้าหน้าที่ก็มาอุ้มลูกเรา คือไม่ได้ผ่าน ตม. ไม่ได้เห็นอะไรเลย

ช่วงนั้นมันบีบหัวใจขนาดไหน?
บี : มันเหมือนจะตายได้เลย คุณหมอบอกว่าถ้าไม่ทำ ลูกจะอยู่ได้ไม่ถึงปี มันทรุดกองลงไปตรงนั้นเลย แล้วก็โทษตัวเอง สาเหตุเป็นเพราะเราไหม เราไม่ดีไหม ช่วงท้องเรากินอะไรไม่ดีไหม เราทำอะไร ทำไมลูกเราเป็นแบบนี้ จนสุดท้ายพอรู้ว่าไม่มีสาเหตุ เราก็เริ่มเบาใจ สามีเขาเป็นคนที่ดึงสติ ถ้าไม่มีเขาตอนนั้นพี่คงบ้า

สิ่งที่น้องเป็นคือ น้องเป็นตับแข็ง แล้วต้องมีการเปลี่ยนตับ แล้วตับผู้ใหญ่อย่างพวกเราอวัยวะชิ้นก็จะใหญ่กว่า แล้วของน้องตัวเล็กนิดเดียว แล้วเปลี่ยนกันยังไง?
บี : เขาจะพยายามเลี้ยงน้องให้โตที่สุด ให้น้ำหนักได้เยอะที่สุด

ระหว่างที่ทำการรักษามีอุปสรรคอะไรเกิดขึ้นบ้าง?
บี : คือเรื่องที่ลูกไม่กิน ทำยังไงก็กินไม่ได้ กล้ามเนื้อมันก็ลีบลงเรื่อยๆ ทุกครั้งที่น้ำหนักไม่ขึ้น หรือร่างกายไม่เจริญเติบโตได้เร็วเท่าที่หมอต้องการ โอกาสมันก็เสี่ยงมากขึ้น เพราะตับพ่อก็ใส่ไม่ได้ เพราะมันต้องวัดไซส์ จนน้องอายุ 7 เดือน จาก 3 เดือน น้องอยู่ไม่ไหวแล้ว คือน้องเหลืองจนเขียวแล้ว สภาพทุกอย่างคือไม่ไหวแล้ว หมอบอกว่าถ้าไม่เปลี่ยนภายใน 2 วันน้องก็เสีย ก็คือต้องตัดสินใจเดี๋ยวนั้นเลยว่าผ่า สามีก็ต้องผ่า มันจะใหญ่หน่อยก็ต้องยัดมันเข้าไป

วินาทีนั้นรู้สึกยังไงบ้าง?
บี : ตอนแรกก็ดีใจว่าลูกจะได้เปลี่ยนแล้ว ลูกจะหายแล้ว พอมาวันที่จะถึงจริงๆ พี่ไมค์สามี เขาโทรไปหาคุณพ่อคุณแม่เขา เหมือนบอกว่าพรุ่งนี้จะต้องเข้าห้องผ่าตัดแล้ว พี่ไมค์เขาบอกบีไม่ต้องห่วง พี่ใช้ชีวิตมามากพอแล้ว

การตัดอวัยวะส่วนหนึ่งของพี่ไมค์มา มันอันตรายมาก พี่ไมค์เองก็อาจจะเสียชีวิตได้เหมือนกัน?
บี : อันตรายมาก ตอนที่เขาคุย เขาก็จะบอกตลอด รู้ไหมมันเคยมีนะ ที่พ่อหรือแม่แบ่งตับให้ลูก แล้วหลังจากนั้นเสียชีวิต เพราะมันจะโดนตัดกล้ามเนื้อเพื่อที่จะเปิดออก

มันเหมือนเหตุการณ์ที่เราต้องเลือกระหว่างปล่อยลูกไป หรือจะลองเสี่ยงดู?
บี : ใช่ค่ะ พอผ่าเสร็จแล้วเหมือนทุกอย่างจะราบรื่น แต่พอ 3 วัน เริ่มมีการต่อต้านตับขึ้นมา ต้องพาน้องเข้าไปใหม่ ณ วันที่น้องออกมา เราก็แย่แล้ว สภาพน้องคือสายรุงรังเต็มตัวไปหมด พอจะกลับเข้าไปอีก พี่ไมค์เองปกติเขาจะให้อยู่ที่โรงพยาบาลอย่างน้อยอาทิตย์นึง พี่ไมค์บอกว่า ไม่ 4 วัน เขาจะออกแล้ว เขาจะดูลูก คุณหมอก็บอกว่ามันอันตรายนะ คุณจะเดินได้เหรอ พี่ไมค์บอกไม่มีปัญหา เขาเดินได้ พอเอาเข้าไปสัก 5-6 ชั่วโมง ออกมา เขาบอกโอเค เขาไม่เกิดอาการต่อต้าน มันอาจจะเป็นไปได้ที่เกิดอาการอักเสบ ผลมันเลยออกมาว่ามันเกิดอาการต่อต้าน ณ ตอนนี้ดีแล้ว ก็อยู่ icu เดือนกว่าๆ น้องเริ่มรู้สึกตัวประมาณอาทิตย์กว่าๆ ก่อนหน้านั้นเขาให้ยาหลับ เพราะเขาสงสารเด็กจะเจ็บ เพราะน้องผ่าครึ่งตัวเลย เราจะเห็นน้ำตาเขาไหลตลอด เราก็นั่งคอยเช็ดให้ลูก
ไบรอัน : ตอนนั้นผมเป็นเด็ก ก็ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ความรู้สึกตัวเองอะไรผิดปกติ ความทรงจำแรกของผมคืออยู่โรงพยาบาล แม่ร้องไห้เป็นประจำ ผมก็เช็ดน้ำตาแม่ อย่าร้องนะแม่ แต่พอเห็นน้องเจ็บก็อยากดูแลน้อง

ใช้เวลาขนาดไหนถึงดีขึ้น?
บี : ก็ออกจากห้อง icu ก็ย้ายเข้าห้องธรรมดาอีกประมาณเดือนกว่าเกือบสองเดือน ช่วงนั้นพี่บีก็กินนอนอยู่โรงพยาบาล ก็มีพี่ไมค์ที่พาน้องกลับบ้าน

ณ ตอนนี้น้องเองยังรักษาตัวอยู่ไหม?
บี : ยังรักษาค่ะ ตอนนี้น้อง 25 แล้ว ยังต้องเจาะเลือด อย่างเมื่อก่อนต้องเจาะเลือดทุกๆ 3 วัน ทุกๆ อาทิตย์ ทุกๆ เดือน ทุกๆ 3 เดือน เขาจะไล่ไปเรื่อยๆ จน ณ ปัจจุบัน เมื่อเดือนที่แล้วที่คุณหมอบอกว่าเราห่างกัน 6 เดือนได้แล้วนะ แต่ยังต้องทานยากดภูมิต้านทาน นั่นก็คืออีกสาเหตุนึงที่ทำไมครอบครัวพี่บีใส่หน้ากากตลอด เพราะว่าต้องระวังโรส

ค่ารักษาพยาบาลหมดไปเท่าไหร่?
บี : มันเป็นจำนวนสูงมากเลย ถามพี่บีให้หมดตัวเลย จะกี่ครั้งก็ได้ แต่ได้ลูกกลับมาพี่บีก็ยอม พี่บีไม่อยากตีราคาลูกด้วยตัวเลขว่ามันคือเท่าไหร่ เพราะว่าที่พี่บีได้เขากลับมานั่นคือมูลค่ามากกว่าเยอะ

ล่าสุดเพิ่งรู้เรื่องคุณพ่อว่าไม่ได้เป็นคุณพ่อแท้ๆ?
บี : ใช่ คือช่วงเด็กๆ เราจะเข้าใจตลอดว่าเราเป็นลูกของคุณพ่อคุณแม่ที่เลี้ยงเรามา จนกระทั่งเริ่มมาเล่นหนังถึงได้มีคนมาพูดถึงแม่จริงๆ ของตัวเองให้ฟังว่าเราเป็นลูกที่ถูกเก็บมาเลี้ยง ตอนเด็กๆ เราจะโดนล้อตลอดว่าไอ้ฝรั่งดอง ซึ่งเราก็เข้าใจ แต่ทุกครั้งพ่อก็จะบอกว่าไม่จริง เราคือลูก จนกระทั่งเรามามั่นใจแม่ที่เลี้ยงมา กลับมาบอกว่าบีแม่ขอโทษนะบีไม่ใช่ลูกของแม่ แต่บีเป็นลูกของพ่อนะ พ่อไปมีภรรยาน้อย แล้วบีเกิดจากแม่อีกคน แต่แม่เอาบีมาเลี้ยงแทน คือ ณ ตอนนั้น บอกความจริงแค่ครึ่งเดียว จนกระทั่งเราได้มีโอกาสไปเจอแม่จริงๆ แม่ที่เลี้ยงเราพาไปเจอแม่จริงๆ ทุกปี ให้เราเห็น แค่ไม่เคยบอกว่านี่คือแม่ แต่แม่มีครอบครัวใหม่ เราก็จะเห็นครอบครัวใหม่แม่ตลอด จนกระทั่งแม่ที่คลอดเราจริงๆ บอกว่าแม้แต่พ่อก็ไม่ใช่นะ พ่อคือคนนี้เป็นทหารอเมริกัน เราก็อยากรู้ว่าพ่อเป็นใคร ก็พยายามถามแม่ แม่ก็เล่าประวัติ รูปหรืออะไรต่างๆ มันก็หายไป ก็รู้ว่าพ่ออยู่ประจำเป็นทหารอากาศ อยู่ที่อุดร คือรู้คร่าวๆ รู้หมด รู้ชื่อว่าชื่อทอมมี่ แต่จำนามสกุลไม่ได้ มันก็ยากที่จะตามหา

บี : จนกระทั่งพี่มอริส เค เขาคุยกันเรื่องตรวจ DNA พี่บีเห็นก็ถามเขาตรวจยังไง ณ ตอนนั้น ทั้งลูกชาย และสามีพี่บีเขาก็เริ่มรู้แล้วตรวจ DNA ได้ เดี๋ยวจะลองทำให้ ปรากฏว่าช่วงนั้นพี่มอริส เขาก็จะหาพ่อเหมือนกัน เราก็เลยบอกว่างั้นรวมกลุ่มกันกับพี่มอริส โดยมีพี่ๆ ที่เขาเจอพ่อเขาแล้วที่อเมริกา ส่งดีเอ็นเอเทสมาให้ แต่จะเจอหรือไม่เจอก็คือ ฝั่งคุณพ่อจะต้องมีคนนึงตรวจทิ้งเอาไว้ เขาก็ต้องตามหาลูกเขาเหมือนกัน ปรากฏว่าตรวจ พี่บีไปเจอน้องของคุณพ่อที่ตรงกัน เพราะน้องคุณพ่อเขาก็ตามหาลูกเขา เป็นทหารอเมริกันมาพร้อมกับคุณพ่อพี่บี แต่ของเขาภรรยาเป็นคนเวียดนาม แต่ด้วยความที่เขาแมชกับเรา ลูกชายก็ไปค้นหาจนเจอว่าครอบครัวนี้ชื่อนี้ คนชื่อทอมมี่เป็นทหาร เราก็เริ่มดีใจว่าจะได้เจอพ่อแล้ว เขียนจดหมายไปหาคุณอา เขียนไปหาคุณป้า เขียนไปหาน้อง เขียนหาหลาน เขาก็ตามให้ว่ามีใครบ้างที่อยู่ในครอบครัว จนกระทั่งมีคนนึงตอบกลับมาเป็นลูกพี่ลูกน้องว่าใช่ ผมรู้จักคนชื่อนี้ อาผมไปที่เมืองไทยจริงๆ พอสุดท้ายติดต่อกันไปติดต่อกันมา ก็เลยรู้ ส่งรูปมาให้ก่อนนี่คือรูปแรกในชีวิตที่ได้เห็นว่าพ่อหน้าตาเป็นยังไง แต่เจอช้าไปคุณพ่อเสียไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว

พี่บีรู้สึกยังไงบ้างเมื่อรู้ว่าพ่อเสียไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว?
บี : คนนี้รู้ก่อนเลย ไปเจอป้ายที่ฝังศพคุณพ่อ เขาก็ไปบอกพ่อเขาว่า พ่อผมจะบอกแม่ดีไหม เพราะตอนนั้นพี่บีดีใจมาก ได้เบอร์โทร ได้ที่อยู่ พี่ไมค์ก็บอกว่าบีใจเย็นๆ เขาจะรู้หรือเปล่าว่าเขามีลูก เราก็รอๆ จนกระทั่งลูกพี่ลูกน้องตอบกลับมา เจ้านี่ถึงมาบอกแม่ใจเย็นๆ นะ อาจจะไม่จริงก็ได้ ปู่อาจจะยังอยู่ แต่ปรากฏว่าเสียจริงๆ จนกระทั่งป้ากับน้องพ่อที่ทำ DNA ก็บินมาหาพี่ที่เมืองไทย แล้วก็มาเล่าให้ฟังว่าคุณพ่อตามหาพี่บีตลอดเวลา คุณพ่อมาตลอด แต่คุณแม่หลบ เพราะคุณแม่มีครอบครัวใหม่ แล้วยกพี่บีให้คนอื่นไปแล้ว

ติดตามชมรายการ “คุยแซ่บShow” ทุกวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา13.40-14.40 น. ทางช่อง one31 Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama