คุยแซ่บshow คุยแซ่บโชว์ ภูริ หิรัญพฤกษ์ แอน อลิชา

แอน อลิชา กุมขมับทุกวัน! พิษโควิดสาหัส ธุรกิจท่องเที่ยวเสียหาย 7 หลัก

แอน อลิชา คุณแม่ลูกสอง เปิดใจเจอพิษโควิดทำธุรกิจท่องเที่ยวเสียหายนับล้านบาท พร้อมอัปเดตอาการบาดเจ็บสามี ภูริ หิรัญพฤกษ์ หลังผ่าตัด

Home / Entertainment / แอน อลิชา กุมขมับทุกวัน! พิษโควิดสาหัส ธุรกิจท่องเที่ยวเสียหาย 7 หลัก

คุณแม่ลูก 2 แห่งแก๊งนางฟ้า แอน อลิชา หิรัญพฤกษ์ วันนี้จะมาอัปเดตความน่ารักของลูกสาวทั้งสอง พี่ริชา & น้องลิษา พร้อมเปิดใจเจอพิษโควิดทำธุรกิจเสียหายนับล้านบาท และอัปเดตอาการสามี ภูริ หิรัญพฤกษ์ หลังผ่าตัดหัวไหล่ยกแขนไม่ได้นาน 2 เดือน ในรายการ “คุยแซ่บSHOW” ที่มี พีเค ปิยะวัฒน์ , ธัญญ่า ธัญญาเรศ และ อาจารย์เป็นหนึ่ง เป็นพิธีกร

ภูริไปทำอะไรมาถึงแขนเจ็บ
แอน : เขาซุ่มซ่ามลื่นล้มแล้วเอ็นขาด แล้วก็ทนเจ็บมา 2 เดือน แต่สิ่งที่ทำให้เขารำคาญก็คือ เขาไม่สามารถยกแขนตรงๆ เหมือนคนทั่วไปได้ ที่ผ่านมาเขาก็ทำเลเซอร์ ทำกายภาพ จนไปเข้าเอ็มอาร์ไอแล้วหมอเห็นว่ามันขาด หมอก็เลยบอกว่า “ผ่าเถอะครับ” ถามว่าแอนบังคับเขาไหมคือเขาผ่าของเขาเอง เพราะเขายกแขนไม่ได้ อุ้มลูกไม่ได้ เขาก็เลยหงุดหงิด และจะอารมณ์เสียมากช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ก็เลยไม่ได้ออกไปทริป ไม่ได้ออกไปทำงาน เขาจะหงุดหงิดฉุนเฉียวตลอดเวลา

หมอบอกจะกลับมาใช้แขนตามปกติได้เมื่อไหร่
แอน : หลังจากผ่า 3 เดือน คือรอให้ทำกายภาพไปด้วย ทำอะไรไปด้วย ตอนนี้เขาก็พักผ่อนอยู่บ้านยาว ๆ แอนก็จะรู้สึกเหมือนมีลูก 3 คน คือเวลาเขาเจ็บเขาก็จะนู่นนี่ ถามว่าลูกเข้าใจไหมว่าพ่อเจ็บ คือคนโต ริชาจะรู้ ตอนนี้เขา 5 ขวบแล้ว เขาก็จะถามว่าจ๋าจะเข้าโรงพยาบาลนานไหม จ๋าเจ็บมากแค่ไหน จ๋าเป็นอะไร เขาก็อยากจะไปเยี่ยม ทำการ์ดทำวิดีโอไปให้พ่อ ส่วนคนเล็กตอนนี้ก็อายุ 16 เดือน เขาก็ยังไม่รู้เรื่องอะไร

ระหว่างสามีบาดเจ็บ กับ พิษโควิดอะไรหนักกว่ากัน
แอน : มันไปร่วมกัน ที่ผ่านมาเราเจอมา 2 ปีเต็ม อย่างธุรกิจเรื่องการท่องเที่ยว มันแน่นอนว่าเสียหายไปทั่ว แล้วบ้านเราก็ทำธุรกิจเกี่ยวกับการท่องเที่ยว มีโรงแรม มีที่พัก มีเกาะ คือของเราท่องเที่ยวล้วนๆ ปีที่แล้วเราก็ทำสุดกำลังที่เราทำได้ เราก็ดูแลพนักงานที่เรามี 60 กว่าคน ก็แบกกันมาได้ 6 เดือน ต่อมาเราก็ไม่ไหว เราก็ต้องให้พนักงานหยุดงานกลับบ้านกันไป แล้วเราเพิ่งมาเปิดเมื่อเดือนก.พ.ที่ผ่านมา ตอนนี้ก็กลับมาอีกรอบ และถือเป็นความโชคดีที่เราเปลี่ยนจากโรงแรมเป็น เวลโอเนตเซ็นเตอร์ เป็นการรีแคป ที่มีผู้เชี่ยวชาญดูแล จากคนที่เครียดเรื่องงาน เรื่องชีวิตก็จะไปอยู่ตรงนั้น ก็จะได้แขกที่อยู่ระยะยาวก็พอไปได้ แต่ก็ไม่ดีเท่าเดิม ช่วงที่เราเปิดใหม่พนักงานเราก็ต้องลดจำนวนลง พนักงานก็ไม่ได้กลับมาหมด

สามารถตีเป็นมูลค่าความเสียหายได้ไหม
แอน : จริงๆ ก็อยากจะบอกว่ามันไม่แค่นั้น เพราะมันยังมีเกาะนาคาน้อย ซึ่งช่วงสงกรานต์เพิ่งจะทำเป็นบีซคลับ เปิดให้คนมาเที่ยว มีร้านกาแฟ มีเต้นท์ เป็นแคปปิ้ง ก็เปิดได้แค่ 3 วัน โควิดก็กลับมา ก็เลยต้องพับโครงการกลับมาทั้งๆ ที่ลงทุนไปแล้ว นอกจากนี้ก็ยังมีรายการอีก ถามว่าเสียหายมากไหมก็มี 7 หลักนะ ทุกวันนี้ก็กุมขมับทุกวัน เครียด รายการก็ไปถ่ายเหมือนเดิมไม่ได้ รายการ viewfinder ก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนเมื่อก่อนเขาจะไปเมืองนอกตลอด หายไปที 10 วัน 20 วัน ตอนนี้ก็ต้องหาที่ใกล้ๆ การทำงานมันก็ลำบากมากขึ้น มันก็เหมือนทุกคนที่ทำมาหากินยากขึ้น ถามว่าท้อไหม ก็มีท้อนะ แต่เราก็ให้กำลังใจกันไป คือเราก็รู้ว่าเขาทำงานหนัก เราซัพพอร์ตตรงไหนได้ เราก็ซัพพอร์ทในฐานะครอบครัว ส่วนหน้าที่ของเราก็คือทำหน้าที่แม่ เลี้ยงดูลูกของเราให้ดีที่สุด

มีวิธีการจัดการกับความท้ออย่างไร
แอน : จริงๆ สถาบันครอบครัวสำคัญมาก เรามีครอบครัวที่ดี การให้กำลังใจกันเองนั่นแหละคือสิ่งที่สำคัญ เจออะไรที่ไม่ดีเราก็จับมือกัน ให้กำลังใจกัน ช่วยกันได้ก็ต้องซัพพอร์ตกันไป จับมือและสู้ไปด้วยกันเดี๋ยวมันก็ดีขึ้น มันคงไม่นานไปกว่านี้

คิดว่าทุกอย่างจะกลับมาเหมือนเดิมไหม
แอน : ก็หวังว่าจะให้ทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิม คือทุกอย่างที่เราทำไป เราลงทุนไป คืออย่างที่ปายเรา 2 คนทำมาตั้งแต่เป็นที่ดินเปล่า มันเป็นอะไรที่เราสร้างมากับมือ เราก็รักมัน ส่วนที่นาคาน้อยก็เป็นธุรกิจครอบครัวสามี เราก็อยากให้มันเป็นอะไรที่ให้หลาน ให้เหลน คนในครอบครัว ใช้ตรงนี้ไปได้เรื่อยๆ ก็หวังว่าจะฟื้นฟูเร็วๆ

โควิดรอบนี้นอยด์แค่ไหน
แอน : ก็มาก คือเจอ 2 รอบเลย ปีที่แล้วตอนที่มันหนักๆ แอนอยู่ที่ปายตอนช่วงหน้าหนาว ขากลับคือเราอยู่จนอยู่ไม่ได้ เรานั่งรถเป็น 10 ชั่วโมงจากปายกลับมากรุงเทพ เพราะว่าไม่กล้าขึ้นเครื่องบิน อย่างช่วงสงกรานต์เราก็ไปใต้ พอโควิดมันกลับมา เราก็ต้องนั่งรถ 11 ชั่วโมง จากภูเก็ตมากรุงเทพ เพราะว่าเราเสี่ยงไม่ได้ ลูกไม่ได้ออกจากบ้าน 3-4 เดือน คือเราไม่ให้ออกไปไหนเลย เราจะมีหน้าที่ไปซุปเปอร์อาทิตย์ละ 2 ครั้ง ส่วนที่อื่นๆ เราพยายามไม่ออก ตอนนี้สงสารลูกเรา เพราะเขาต้องการสังคม เขาไม่ได้เจอเพื่อน เขาไม่ได้ไปโรงเรียน แล้วก็ติดแหงกอยู่กับบ้าน

ช่วงที่เวย์ติด เราอยู่ด้วยกันไหม
แอน : ไม่อยู่ เราไม่เจอกันเลย คือตั้งแต่ต้นมกราคม เพราะมันมีกระแสว่าโควิดจะกลับมาก็เลยจะไม่ค่อยได้เจอเพื่อน พอรู้เราก็ตกใจว่ามันใกล้ตัวมากๆ คือตอนแรกเรามองเป็นเรื่องไกลตัว อย่างตอนที่ลิเดียหรือแมทธิวเป็น เรารู้จักแต่ไม่ได้สนิทมาก แต่พอเวย์คือเราสนิทกันมาก ก็เลยนอยด์ ก็มีโทรถามนานาว่าเป็นอย่างไร นานาก็เสียงสั่น เขาก็กังวล โดยเฉพาะคนที่มีลูกเขาก็คิด ถ้าเขาเป็นแล้วใครจะดูแลลูก ลูกจะติดไหม จะอย่างไรต่อ

แอนมีลูก 2 คน จริงๆ เป็นคนมีลูกยากเหรอ
แอน : ยาก… คือที่ผ่านมาตั้งแต่แต่งงาน เราเป็นคนแข็งแรง เราก็ลองมาเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ติดจนต้องลองวิธีวิทยาศาสตร์ เราลองวิธีวิทยาศาสตร์ 4 รอบ กว่าจะได้

ไอวีเอฟอะไร
แอน : เขาเรียกว่าเด็กหลอดแก้ว เป็นการผสมไข่เรากับสเปิร์มของสามี ไปผสมข้างนอกเพื่อให้ได้ตัวอ่อน แล้วค่อยเอามาฉีดเข้าข้างในตัวเรา ส่วนลูกคนที่สองถูกแช่แข็ง 5 ปี ถึงเอามาฉีดใส่ตัวเรา ถามว่าที่ต้องรอนานขนาดนั้น เพราะแอนกับภูริไม่ได้กะจะมีลูกอีก แล้วตอนแรกที่เราทำไอวีเอฟ เราได้ไข่มา 7 ฟอง ผสมออกมาแล้วได้ผู้หญิง 6 คน คือมันจะรู้ตามหลักวิทยาศาสตร์จากโครโมโซม พอหมอบอกว่าเราได้ผู้หญิง 6 คน เราก็ยืนมองหน้ากัน เพราะตอนแรกเราอยากได้ลูกชาย เพราะไลฟ์สไตล์เราสมบุกสมบัน บวกกับสมบัติของสามีน่าจะเหมาะกับลูกชายมากกว่าก็เลยยังไม่เอา ก็ดูดไข่มาอีกรอบหนึ่ง ปั่นเชื้อของสามีให้ได้ผู้ชาย ปรากฎว่าได้ผู้ชายมา 2 คน แต่ไม่ค่อยแข็งแรง เราก็ไม่อยากเสี่ยงกลัวจะเป็นอะไรขึ้นมา เราก็ทำอยู่ 3 รอบ กว่าจะได้ริชา แล้วก็จบก็ไม่คิดจะทำลูกอีก จนริชาอายุ 3 ขวบครึ่ง เห็นลูกเหงาก็เลยทำ ซึ่งคนนี้ก็เป็นล็อตเดียวกับริชาเมื่อ 5 ปีที่แล้ว เพียงแต่มาเกิดช้าหน่อย

ถามว่าเราทำแบบนี้ค่าใช้จ่ายเยอะไหม
แอน : ก็เยอะอยู่ คือมันหลายรอบ พอรวมๆ กันก็ 7 หลัก

ได้ข่าวว่าท้องคนที่ 2 แพ้หนักมาก
แอน : ใช่ ผิดกับริชาเลย ตอนท้องริชาสบายๆ แต่กว่าจะได้ริชามันยากมาก แต่พอได้มันง่ายไปหมด แต่พอลิษา นอนไม่หลับอยู่ 2 เดือนเต็ม เหวี่ยง อารมณ์เสียจนคลอด แล้วก็โดนแทรกซ้อนเป็นกรดไหลย้อน

ทำไมต้องเลี้ยงลูกเหมือนเข้าทหาร ต้องเป๊ะทุกอย่าง
แอน : คือไม่ได้เป็นทหารขนาดนั้น คือเราเชื่อตั้งแต่คนแรกแล้วว่า ทำอะไรที่เป็นเวลา เป็นตารางมันจะง่ายสำหรับเรา และง่ายสำหรับเขา อย่างริชาก็จะกินนมทุก 3 ชั่วโมง นอนตอนไหนก็จะเป็นจังหวะ แล้วเราก็ทำอย่างนั้นเรื่อยมา อย่างริชานั่งชักโครกมาตั้งแต่อายุ 6 เดือน คือเราจับนั่งเลย เราก็จับนั่งให้เขาชิน แล้วก็นั่งแบบนี้ทุกวัน เวลาเดิมจนตอนนี้ 5 ขวบ เวลานั้นเขาก็จะถ่ายเสร็จเรียบร้อย ลิษาเราก็จับฝึกแบบนี้เหมือนกัน ทุกวันนี้แทบจะไม่ต้องใช้แพมเพิร์ตแล้ว กินข้าวและนอนก็เป็นเวลา มันก็จะง่าย

ลูก 2 คน นิสัยเหมือนกันไหม
แอน : ไม่เหมือน คนโตจะเป็นแนวหวานๆ ชอบอะไรสวยงาม ตอนแรกคิดว่าเขาจะลุยๆ นะ แต่เขาเป็นคนขี้กลัวและเป็นคนขี้อ้อน ส่วนลิษาก็จะดุดันเหมือนแม่นิดหน่อย แล้วก็ลุยๆ ไม่กลัวอะไร ก็เป็นคาแรกเตอร์แตกต่างชัดดี ตอนนี้บ้านเราแบ่งหน้าที่ชัดเจน คือ สามีหาตังค์ เราก็มีหน้าที่เป็นแม่ดูแลลูก จัดระเบียบ และให้เขาโตตามวัย เราก็แล้วแต่เขาว่าเขาอยากเป็นอะไร เรามีแค่หน้าที่เลี้ยงให้เขาโตมาเป็นคนดีเท่านั้นพอ

ติดตามชมรายการ “คุยแซ่บShow” ทุกวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 13.40-14.40 น. ทางช่อง one31 Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama