เกร็ดความรู้ คำศัพท์ภาษาอังกฤษ เกี่ยวกับการเรียนมหาวิทยาลัยในอเมริกา ใครที่กำลังวางแผน มีเป้าหมายจะไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยในอเมริกา ถือเป็นการเตรียมความรู้กันไว้ก่อน จะได้เข้าใจความหมาย ซึ่งแต่ละมหาลัยก็จะมีวัฒนธรรม สังคม ที่แตกต่างกันออกไป สำหรับระบบการศึกษามหาลัยที่อเมริกามีอะไรบ้างลองไปอ่านกันค่ะ
คำศัพท์ภาษาอังกฤษ เกี่ยวกับการเรียน มหาวิทยาลัยในอเมริกา
- Quarter : ภาคเรียนยาวประมาณ 12 สัปดาห์
- Semester : ภาคเรียนยาวประมาณ 18 สัปดาห์
- Trimester : ภาคเรียนยาวประมาณ 14-16 สัปดาห์
- Scantron : กระดาษตรวจข้อสอบสำหรับการสอบ multiple choice
- G.P.A. หรือ Grade Point Average : คือมาตรฐานการให้เกรดที่ใช้กันในอเมริกา โดยมีเกณฑ์อยู่ระหว่าง 0.0 – 4.0 โดยที่ 4.0 คือเกรดที่สูงที่สุด
- Sorority : การควบคุมความประพฤติสำหรับนักศึกษาหญิงระดับปริญญาตรี
- Fraternity : การควบคุมความประพฤติสำหรับนักศึกษาชายระดับปริญญาตรี
- Honor Society : การควบคุมเรื่องทุนการศึกษาที่มอบให้กับนักเรียนที่มี G.P.A. สูง
- Major : วิชาเอกหรือการศึกษาที่เน้นหนักไปในสาขาใดสาขาหนึ่งในระดับปริญญาตรี นักเรียนจะต้องเลือกเรียนวิชาเอกและเรียนให้จบหลักสูตรฉบับสมบูรณ์เพื่อได้รับปริญญา
- Double Major : การเรียนสองหลักสูตรไปพร้อมกัน
- Minor : วิชาโท หรือการเรียนที่เน้นเป็นอันดับสองรองจากวิชาเอก ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้เวลาและหน่วยกิตที่น้อยกว่าในการเรียนให้ครบหลักสูตร
- Class : เป็นคำที่ใช้เรียกแทนคำว่า lecture โดย จะสอนโดย Professor, T.A. รวมถึง guest lecturer
- T.A. หรือ Teaching Assistant : คือผู้ช่วยอาจารย์ซึ่งปกติแล้วจะเป็นนักเรียนที่กำลังเรียนอยู่ในระดับปริญญาโท โดยพวกเขาสามารถจะเป็นผู้ที่สอนในห้องเรียน และคอยช่วยเหลือ professorในระหว่างการเรียนการสอน
- E : คือเกรดที่ต่ำที่สุด เท่ากับ 0.0ใน G.P.A ซึ่งจะถือว่าเรียนไม่ผ่านและไม่ได้หน่วยกิตใดๆ
- Finals, Final หรือ Finals Week : มักจะหมายถึงสัปดาห์สุดท้ายของที่จะปิดเทอม ซึ่งเป็นช่วงที่มีการสอบปลายภาค รวมถึงการกำหนดส่งเรียงความด้วย
- Winter Break : ปิดเทอมภาคฤดูหนาว จะประมาณ 2-3 สัปดาห์หลังจากจบภาค fall ซึ่งจะเป็นช่วงคริสต์มาสและปีใหม่พอดี
- Spring Break : ปิดเทอมภาคฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งจะเป็นการหยุดสั้นๆเพียงหนึ่งสัปดาห์หลังจากจบภาค winter และก่อนที่จะเปิดเทอมใหม่ คือ ภาค spring
- Homecoming : เป็นช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองจากการเรียนจบในเทอมแรก และยังเป็นช่วงเวลาที่ศิษย์เก่าจะกลับมาและหวนรำลึกถึงวันเก่าๆ ของพวกเขา
- Resume : เอกสารใช้ในการสมัครงาน ที่แสดงถึงการศึกษาและทักษะที่จำเป็น
- Social Security Number : หมายเลขประกันสังคม โดยชาวอเมริกันทุกคนจะต้องมีเพื่อใช้ในการเสียภาษี ส่วนนักเรียนต่างชาตินั้น จะสามารถขอหมายเลขนี้ได้ เพื่อใช้ในการทำงาน
- Freshman : เด็กใหม่หรือนักเรียนปีหนึ่ง
- Sophomore : นักเรียนปีสอง
- Junior : นักเรียนปีสาม
- Senior : นักเรียนปีสี่ ซึ่งกำลังจะเรียนจบ
- Professor : อาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิที่สอนวิชาต่างๆ ในมหาวิทยาลัย
- Advisor : อาจารย์ที่มีคุณสมบัติที่ทำหน้าที่ในการให้คำแนะนำนักเรียนโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของวิชาเอก, ที่พัก, วิชาที่ควรเรียน รวมถึงปัญหาอื่นๆ มากมาย
- Syllabus : เอกสารที่เขียนรายละเอียดเกี่ยวกับงานที่ได้รับมอบหมาย, วันเวลาในการสอบ รวมถึงสิ่งที่จะได้รับจากการเรียน โดยแต่ละวิชาจะต้องมี Syllabus เป็นของตัวเองโดยจะเขียนขึ้นโดย T.A. หรือ Professor ประจำวิชานั้นๆ
- Prerequisite : วิชาบังคับทั่วไป เป็นวิชาที่นักเรียนทุกคนจะเป็นจะต้องเรียนและผ่านก่อน ถึงจะสามารถเข้าเรียนในวิชาเอกต่างๆ ได้ โดยวิชาบังคับเหล่านี้จะแตกต่างกันไปในแต่ละมหาวิทยาลัย
- Paper/Term Paper : คำเรียกของ essay การเขียนรายงานทางวิชาการ
- Associate’s Degree : อนุปริญญาที่ใช้เวลาในการเรียนประมาณ 2 ปีและได้จากการเข้าเรียนที่ Community College (วิทยาลัยชุมชน)
- Bachelor’s Degree : ปริญญาตรี ใช้เวลาในการเรียน 4 ปี และได้จากการเรียนในมหาวิทยาลัย
- Master’s Degree : ปริญญาโท ใช้เวลาในการเรียน 2-4 ปี (ขึ้นอยู่กับสาขาวิชา) และได้จากการเรียนในมหาวิทยาลัย
- PhD ย่อมาจาก Doctorate of Philosophy หมายถึง การทำวิจัยเชิงวิชาการ และได้จากการเรียนในมหาวิทยาลัย ส่วนระยะเวลาในการเรียนจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับวิชาและสถาบัน
- Community College : วิทยาลัยชุมชนที่เน้นการสอนในการทำอาชีพ และไม่ได้มีสภาพแวดล้อมหรือสังคมเหมือนมหาวิทยาลัย
- College/University : มหาวิทยาลัย คือ สถาบันการศึกษาสำหรับการเรียนในระดับปริญญาตรีเป็นต้นไป
ภาคการศึกษา
แต่ละมหาวิทยาลัยจะมีภาคเรียนหรือภาคศึกษาที่แตกต่างกันออกไป โดยใน 1 ปีการศึกษา จำเป็นต้องเรียนในรูปแบบหนึ่งรูปแบบใด ใน 3 แบบ ดังนี้
- 4 ภาคเรียน ประกอบไปด้วย Fall, Winter, Spring และ Summer (โดยภาค Summer เป็นภาคเสริมและถ้าจะเรียนจะต้องเสียค่าเล่าเรียนเพิ่ม)
- 3 ภาคเรียน หรือ ไตรภาค ประกอบไปด้วย Fall, Winter และ Spring (โดยภาค Summer เป็นภาคเสริมและถ้าจะเรียนจะต้องเสียค่าเล่าเรียนเพิ่ม)
- 2 ภาคเรียน หรือ ทวิภาค ประกอบไปด้วย Fall และ Spring ส่วนภาค Summer จะมีความยาวแตกต่างกันออกไป โดยเป็นภาคเสริมและถ้าจะเรียนจะต้องเสียค่าเล่าเรียนเพิ่ม
ที่มา: topuniversities, news.stanford.edu, campus