BMW M4 GT4 รถแข่งที่ใช้เส้นใยธรรมชาติมากที่สุดเท่าที่เคยผลิตมา

ไม่ว่าอย่างไรก็ดูจะไม่เข้ากันเอาซะเลย ถ้านึกถึงรถแข่งกับเส้นใยธรรมชาติ แต่ BMW และ Bcomp กลับจับทั้งสองสิ่งมาอยู่ด้วยกันได้อย่างลงตัว ก่อนจะยืนยันหลักฐานด้วยภาพของ BMW M4 GT4 ก่อนทำสี ว่านี่คือรถแข่งที่มีชิ้นส่วนเส้นใยธรรมชาติมากที่สุดเท่าที่เคยผลิตกันมา โดย BMW…

Home / AUTO / BMW M4 GT4 รถแข่งที่ใช้เส้นใยธรรมชาติมากที่สุดเท่าที่เคยผลิตมา

ไม่ว่าอย่างไรก็ดูจะไม่เข้ากันเอาซะเลย ถ้านึกถึงรถแข่งกับเส้นใยธรรมชาติ แต่ BMW และ Bcomp กลับจับทั้งสองสิ่งมาอยู่ด้วยกันได้อย่างลงตัว ก่อนจะยืนยันหลักฐานด้วยภาพของ BMW M4 GT4 ก่อนทำสี ว่านี่คือรถแข่งที่มีชิ้นส่วนเส้นใยธรรมชาติมากที่สุดเท่าที่เคยผลิตกันมา

โดย BMW M4 GT4 ที่เป็นตัวแข่งรุ่นปัจจุบัน ถูกแทนที่ชิ้นส่วนที่เคยเป็นคาร์บอนไฟเบอร์ (CFRP) ด้วยวัสดุที่ผลิตจากเส้นใยธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นแผงหน้าปัด คอนโซลกลาง ฝากระโปรงหน้า สปลิตเตอร์ด้านหน้า ประตู ลำตัว และสปอยเลอร์หลัง เรียกว่าเปลี่ยนกันแทบทุกจุดแล้วนอกจากหลังคา

ซึ่งผู้อยู่เบื้องหลังเส้นใยมหัศจรรย์เหล่านี้ คือ Bcomp บริษัทสัญชาติสวิสผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาวัสดุธรรมชาติน้ำหนักเบาแต่แข็งแรงทนทาน เพื่อรองรับการใช้งานในสนามแข่งไปจนถึงอวกาศ ที่ใช้วัตถุดิบหมุนเวียนและเส้นใยธรรมชาติ เช่น ป่าน ใยกัญชง หรือลินิน ช่วยลดน้ำหนักชิ้นส่วนได้มากถึง 50% เทียบกับวัสดุทั่วไป เส้นใยเหล่านี้นำมาผ่านกระบวนการขึ้นรูปคล้ายๆ คาร์บอนไฟเบอร์ จนได้ชิ้นส่วนที่มีความแข็งแรง รับแรงดึงได้สูงและยืดหยุ่น ที่สำคัญสามารถย่อยสลายและรีไซเคิลได้ง่าย ลดการใช้พลาสติกลงจากเดิมกว่า 70% ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงถึง 85%

นอกจากนี้ชิ้นส่วนที่ผลิตจากเส้นใยธรรมชาติยังช่วยลดอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากอุบัติเหตุในสนาม โดยปกติแล้วหากเกิดการชนการปะทะ ชิ้นส่วนคาร์บอนไฟเบอร์จะแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กๆ ซึ่งอาจแหลมคมและทำอันตรายต่อนักขับหรือทีมซัพพอร์ตข้างสนาม แต่เทคโนโลยี powerRibs จะช่วยยึดชิ้นส่วนใยธรรมชาติเข้าไว้ด้วยกัน จำกัดขอบเขตความเสียหาย จนกว่าชิ้นส่วนนั้นจะถูกเปลี่ยนทั้งชิ้น

เหตุนี้ Bcomp จึงได้มาจับมือเป็นพันธมิตรกับ BMW M Motorsport และนำเทคโนโลยี ampliTex™ และ powerRibs™ มาใช้ใน BMW M4 GT4 เพื่อช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งสูงสุดให้โครงสร้างของรถ ด้วยน้ำหนักที่น้อยที่สุด ผ่านการพิมพ์ 3 มิติที่ทำให้ใช้วัตถุดิบลดลง ส่งผลให้น้ำหนัก ต้นทุน และวัสดุสิ้นเปลืองในการผลิตลดลง แถมยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ตรงกับคอนเซ็ปต์ของ BMW ที่พยายามพัฒนาปรับปรุงผลิตภัณฑ์โดยคำนึงถึงความยั่งยืนให้มากที่สุด