COVID-19 ทำให้คนใช้สายตากันมากขึ้น แนะนำวิธีป้องกันและดูแลสายตา

ทุกคนใช้สายตาในการทำสิ่งต่าง ๆ เมื่อสมาร์ทโฟนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของทุกคน พวกเขามักใช้สายตาในการจ้องโทรศัพท์มากเกินไป ส่งผลให้สายตาเราทำงานหนักโดยที่ไม่รู้ตัว ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยากหากไม่มีการบำรุงสายตาเข้ามาเสริม การระบาดของโคโรนาไวรัสทำให้ทุกคนต้องอยู่บ้านมากขึ้น คนใช้สายตามากขึ้น เราจึงควรดูแลสายตามากขึ้นตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หรือใช้อาหารเสริมบำรุงสายตา มาดูกันว่าสาเหตุที่ทำให้สายตาแย่ลงคืออะไร ใช้สายตามากเกินไป ปัจจัยที่ทำให้สายตาแย่ลง แม้ว่าสุขภาพสายตามักจะอยู่เหนือการควบคุมของเรา…

Home / PR NEWS / COVID-19 ทำให้คนใช้สายตากันมากขึ้น แนะนำวิธีป้องกันและดูแลสายตา

ทุกคนใช้สายตาในการทำสิ่งต่าง ๆ เมื่อสมาร์ทโฟนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของทุกคน พวกเขามักใช้สายตาในการจ้องโทรศัพท์มากเกินไป ส่งผลให้สายตาเราทำงานหนักโดยที่ไม่รู้ตัว ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยากหากไม่มีการบำรุงสายตาเข้ามาเสริม การระบาดของโคโรนาไวรัสทำให้ทุกคนต้องอยู่บ้านมากขึ้น คนใช้สายตามากขึ้น เราจึงควรดูแลสายตามากขึ้นตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หรือใช้อาหารเสริมบำรุงสายตา มาดูกันว่าสาเหตุที่ทำให้สายตาแย่ลงคืออะไร

ใช้สายตามากเกินไป ปัจจัยที่ทำให้สายตาแย่ลง

แม้ว่าสุขภาพสายตามักจะอยู่เหนือการควบคุมของเรา และมีแนวโน้มว่าสุขภาพสายตาจะแย่ลงตามอายุ แต่ก็มีบางสิ่งที่เราสามารถทำได้ในการบำรุงสายตาของเราให้ดีขึ้นได้ รวมถึงการรู้ว่าพฤติกรรมหรือปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งผลให้สายตาแย่ลง นักตรวจวัดสายตาและผู้เชี่ยวชาญด้าน R&D ของ Johnson & Johnson กล่าวว่า พฤติกรรมที่ดูเหมือนไม่เป็นอันตรายมากมายอาจส่งผลเสียต่อการมองเห็นของเราได้ง่าย ๆ ไม่ว่าจะเป็นการว่ายน้ำ หรือการสูบบุหรี่ กิจกรรมประจำวันบางอย่างที่อาจทำให้สายตาเราแห้ง คันตา ติดเชื้อ หรือโรคเกี่ยวกับสายตาอื่น ๆ การละเลยสุขภาพดวงตาอาจส่งผลต่อสายตาในระยะยาวได้ นี่คือพฤติกรรมที่ไม่ควรทำถ้าไม่อยากให้สายตาของเราแย่ลง 

  • ใส่คอนแทคเลนส์ตัวเก่า แม้ว่าการใส่คอนแทคเลนส์แบบใช้แล้วทิ้งไม่ทำให้สุขภาพสายตาของเราแย่ลง แต่ถ้าหากใส่คอนแทคเลนส์ตัวเดิมนานเกินไปก็เป็นการเพิ่มโอกาสในการติดเชื้อได้ ผู้คนมักจะใส่คอนแทคเลนส์ระหว่างวันนานมากเกินไป รวมถึงการนอนทั้งที่ยังใส่คอนแทคเลนส์ การใช้คอนแทคเลนส์ร่วมกับผู้อื่น หรือไม่เปลี่ยนคอนแทคเลนส์ใหม่ทุก ๆ 2-3 สัปดาห์ ล้วนเป็นพฤติกรรมแย่ ๆ ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อในดวงตา นอกจากนี้ การสวมคอนแทคเลนส์ในน้ำทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นทะเลหรือสระว่ายน้ำ หรือแม้แต่ในห้องอาบน้ำ อาจทำให้แบคทีเรียบางชนิดเข้าตา ซึ่งทำให้เกิดการติดเชื้อร้ายแรงได้ แม้กระทั่งความเสียหายถาวร หรือทำให้ตาบอด หากแบคทีเรียเข้าตา สิ่งนี้ไม่เพียงทำให้เกิดการติดเชื้อเท่านั้น แต่ยังสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อการมองเห็นของเราได้เช่นกัน
  • การขยี้ตาบ่อย ๆ บางครั้งที่ตาของเราเกิดการระคายเคือง การขยี้ตาอาจทำให้เรารู้สึกสบายตามากขึ้น แต่นั่นก็ตามมาด้วยสิ่งสกปรกและแบคทีเรียต่าง ๆ เมื่อมือเราสัมผัสกับดวงตา เหมือนเป็นการส่งเชื้อโรคเข้าสู่ดวงตาของเรา อาจทำให้เป็นโรคตาแดงได้ Jessica Ciralsky แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระจกตาที่ Weill Cornell Medicine กล่าวว่า “การขยี้ตาเชื่อมโยงกับความเสียหายของกระจกตาถาวร เช่น ความผิดปกติที่เรียกว่า Keratoconus ซึ่งจะทำให้กระจกตาบางลง และและยังสามารถทำลายเส้นเลือดรอบดวงตาได้” การพยายามขยี้ตาออกไปอาจทำให้สิ่งสกปรกเข้าไปในดวงตามากขึ้น ให้พยายามกระพริบตาเร็ว ๆ เพื่อให้น้ำตาชะล้างสิ่งสกปรกต่าง ๆ ออกไป หากไม่ได้ผล ให้ลองหยอดน้ำตาเทียมบำรุงสายตา 2-3 หยดเพื่อล้างตาแทนการขยี้ตาได้ 
  • การใช้เครื่องสำอางหมดอายุ การใช้เครื่องสำอางที่หมดอายุ เช่น มาสคาร่า หรืออายไลน์เนอร์ อาจทำให้สายตาของเราเกิดความระคายเคือง หรือทำให้เกิดการติดเชื้อที่ดวงตาอย่างรุนแรง จากข้อมูลของ American Academy of Ophthalmology พบว่า เครื่องสำอางสำหรับดวงตาควรทิ้งหลังจากผ่านไป 3 เดือน ผู้เชี่ยวชาญบางคนกล่าวว่ามาสคาร่าสามารถใช้ได้นานประมาณ 6-9 เดือน หลักการง่าย ๆ ก็คือ เมื่อมันจับตัวเป็นก้อน ก็ถึงเวลาโยนทิ้ง อย่าเติมน้ำเข้าไป เพราะจะทำให้เกิดแบคทีเรียมากมายที่เครื่องสำอางของเรา
  • ลืมใส่แว่นกันแดด รังสีอัลตราไวโอเลตจากแสงแดดส่งผลต่อการทำลายจอประสาทตาได้ ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคทางสายตา เช่น ต้อกระจก การเจริญเติบโตของเยื่อสายตาที่ผิดปกติ เป็นต้น
  • การสูบบุหรี่ การสูบบุหรี่มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่สูงขึ้นของการเกิดต้อกระจก และการเสื่อมสภาพตามอายุ ซึ่งส่งผลต่อการมองเห็นของเราได้ในที่สุด สถาบันตาแห่งชาติอธิบายว่า การเสื่อมสภาพของการมองเห็นที่เกี่ยวข้องกับอายุเป็นความเสียหายต่อจุดเล็ก ๆ บนจอประสาทตาของเรา ซึ่งใช้สำหรับการมองเห็นที่คมชัดจากส่วนกลาง เมื่อจอประสาทตาส่วนนี้เริ่มเสื่อม การมองเห็นของเราก็เช่นกัน น่าเสียดายที่นี่เป็นสาเหตุหลักของการสูญเสียการมองเห็นในหมู่ผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี และการสูบบุหรี่จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะดังกล่าวขึ้นเป็นสองเท่า
  • จ้องสมาร์ทโฟนทั้งวัน เหตุผลที่ทำให้ดวงตารู้สึกเหนื่อยล้าหลังจากจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ (หรือสมาร์ทโฟน) มาทั้งวัน การอ่านข้อความเล็ก ๆ บนหน้าจอเล็ก ๆ เหล่านั้นที่เต็มไปด้วยแสงสีน้ำเงิน อัตราการกะพริบตาของเราจะลดลง เมื่ออัตราการกะพริบตาเริ่มลดลง อัตราการผลิตน้ำตาก็ลดลงเช่นกัน หากปราศจากการหล่อลื่น ดวงตาจะเริ่มรู้สึกแห้งและล้า ทำให้มองเห็นภาพซ้อนได้ ความรู้สึกเมื่อยล้าและการมองเห็นที่ไม่ชัดเจนอาจคงอยู่อย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง และทำให้เกิดอาการปวดหัวได้ นอกจากนี้ยังมีหลักฐานเพิ่มเติมว่า การใช้เวลาอยู่หน้าจอนานขึ้นอาจทำให้จอประสาทตาเสื่อมในแบบที่สามารถกลับคืนสภาพเดิมได้ และอาจถึงทำให้เกิดสายตาสั้นเพิ่มขึ้นด้วย
  • การไม่ไปตรวจสุขภาพสายตาประจำปีอย่างต่อเนื่อง การไม่ไปพบแพทย์สายตาประจำปีเป็นเรื่องหลายคนละเลย แต่นี่เป็นปัญหาสำคัญเมื่อต้องรักษาสุขภาพตา แม้ว่าเราจะรู้สึกว่าการมองเห็นของเราไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ก็ยังมีโอกาสที่เราอาจปวดตาโดยที่ไม่รู้ตัว มีรายงานว่าผู้ป่วยจำนวนมากไม่ไปหาหมอด้านสายตา ทำให้สายเกินไปที่จะแก้ปัญหาสุขภาพสายตาของเรา ขณะเดียวกัน การตรวจพบโรคตาหลายโรคตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็ช่วยรักษาได้ทันเวลา ก่อนที่จะสายเกินไป
  • การใช้ยาหยอดตามากเกินไป การนอนไม่พอทำให้เกิดตาแดงได้ ยาหยอดตาที่ช่วยลดรอยแดงอาจช่วยแก้ปัญหาตรงนี้ได้จริง แต่ถ้าเราใช้ยาหยอดตาสำหรับตาแดงมากเกินไป อาจเป็นการสร้างความเสียหายต่อดวงตาได้ นักจักษุวิทยากล่าวว่า การใช้ยาหยอดตาเพื่อลดการแดงของดวงตามากเกินไป อาจทำให้เกิดผลตรงกันข้าม และนำไปสู่ตาแดงมากขึ้น ยาหยอดตาเหล่านี้มีการทำงานโดยการบีบรัดหลอดเลือด แต่ถ้าใช้มากเกินไป ยาเหล่านี้อาจนำไปสู่ตาแดงมากกว่าเดิม ใช้น้ำตาเทียมแทน พักสายตาให้มากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดตาแดง

ปัจจัยทางการแพทย์อื่น ๆ ที่ส่งผลต่อการมองเห็น

– ความดันโลหิต ความดันโลหิตคือแรงดันของเลือดที่กดทับผนังหลอดเลือด ความดันโลหิตสูงเกิดขึ้นเมื่อความดันนั้นสูงกว่าปกติ ผลที่ได้สามารถนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง รวมถึงหลอดเลือดตีบในดวงตา และจอประสาทตาบวม (ส่วนที่ไวต่อแสงของดวงตา)

– คอเลสเตอรอล คอเลสเตอรอลพบได้ในทุกเซลล์ของร่างกายและมีบทบาทสำคัญในการย่อยอาหาร มีส่วนในการผลิตฮอร์โมนและสร้างวิตามินดี อย่างไรก็ตาม ระดับคอเลสเตอรอลที่สูงอาจนำไปสู่ปัญหาร้ายแรง รวมถึงการอุดตันของเส้นเลือดที่จอประสาทตา สิ่งนี้เกิดขึ้นเมื่อคอเลสเตอรอลทำลายส่วนหนึ่งของผนังหลอดเลือด และทำให้เกิดก้อนในเรตินา

– น้ำตาลในเลือด กลูโคสเป็นน้ำตาลที่พบได้ในเลือด กลูโคสมาจากอาหารที่เรากินและเป็นแหล่งพลังงานหลักของร่างกาย โรคเบาหวานส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดผิดปกติ ผู้ที่เป็นเบาหวานมีความเสี่ยงสูงต่อภาวะสายตา เช่น ต้อกระจก ต้อหิน และเบาหวานขึ้นจอตา

– ความดันลูกตา (IOP) คือความดันของเหลวในตา เมื่อความดันสูงเกินไป อาจส่งผลเสียต่อเส้นประสาทตา เส้นประสาทนี้มีบทบาทสำคัญในการถ่ายทอดข้อมูลภาพจากเรตินาไปยังสมอง คนที่มีความดันลูกตาสูงมีความเสี่ยงในการเป็นโรคต้อหิน และอาจส่งผลร้ายแรงที่ทำให้สูญเสียการมองเห็นได้

การล็อกดาวน์ในช่วง COVID-19 ส่งผลกับสุขภาพสายตาในการใช้งานอุปกรณ์ดิจิทัล

ตั้งแต่มีการประกาศล็อกดาวน์เนื่องจากโควิด-19 ทั่วโลก ส่งผลให้การใช้งานอุปกรณ์ดิจิทัลได้เพิ่มขึ้นทั่วโลก ทำให้เกิดปัญหาต่อการมองเห็นของคนทุกวัย การศึกษาจาก National Library of Medicine มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลกระทบของการล็อกดาวน์ในการใช้งานอุปกรณ์ดิจิทัล ผลกระทบต่อสุขภาพดวงตา และความผิดปกติของจังหวะการเต้นของหัวใจที่เกี่ยวข้องกับความเครียดของดวงตา งานวิจัยนี้มีการสำรวจออนไลน์ โดยส่งผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่าง ๆ เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์

ผลลัพธ์จากการสำรวจออนไลน์ทั้งหมด 407 รายการพบว่า อายุเฉลี่ยของผู้ตอบแบบสอบถามคือ 27.4 ปี โดยทั่วไปแล้ว ร้อยละ 93.6 ของผู้ตอบแบบสอบถามรายงานตอบว่า การใช้เวลาบนหน้าจอเพิ่มขึ้นนับตั้งแต่การล็อกดาวน์ถูกประกาศ การเพิ่มขึ้นของการใช้อุปกรณ์ดิจิทัลโดยเฉลี่ยได้รับการคำนวณไว้ที่ประมาณ 4.8 – 2.8 ชั่วโมงต่อวัน พบว่าการใช้งานทั้งหมดต่อวันเป็น 8.65 – 3.74 ชั่วโมง ร้อยละ 62.4 พบว่าการใช้งานอุปกรณ์เหล่านี้มากกว่าการนอนของพวกเขา ร้อยละ 95.8 ของผู้ตอบแบบสอบถามมีประสบการณ์อย่างน้อยหนึ่งอาการที่เกี่ยวข้องกับการใช้อุปกรณ์ดิจิทัล และร้อยละ 56.5 กล่าวว่า อาการเหล่านี้เพิ่มขึ้นเนื่องจากมีการประกาศล็อกดาวน์

คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้สายตา เพื่อการมองเห็นที่ดี

  • พักสายตาบ่อย ๆ สถาบันจักษุวิทยา American Academy of Ophthalmology แนะนำให้ปฏิบัติตามกฎ “20-20-20” เพื่อบรรเทาอาการเมื่อยล้าของดวงตา หากจ้องหน้าคอมพิวเตอร์ หรือสมาร์ทโฟนเกือบทั้งวัน ให้พักสายตาทุก ๆ 20 นาที จากนั้นให้มองไปที่วัตถุที่อยู่ห่างออกไป 20 ฟุต เป็นเวลา 20 วินาที วิธีนี้จะช่วยให้ดวงตาไม่ล้าจากการใช้งานมากเกินไป
  • กินอาหารที่มีประโยชน์ต่อสายตา อาหารบำรุงสายตาอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3  วิตามินซี และวิตามินอี ได้แก่ อาหารจำพวกผักสีเขียว ปลาแซลมอน ไข่ และผลไม้รสเปรี้ยว สารอาหารเหล่านี้อาจช่วยลดโอกาสในการพัฒนาความเสื่อมของจอประสาทตา หรือต้อกระจก อาหารเพื่อสุขภาพยังลดโอกาสของโรคเบาหวาน ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของการทำให้ตาบอดได้
  • สวมแว่นตากันแดดทุกครั้งเมื่อออกจากบ้าน การใช้แว่นกันแดดราคาถูกไม่ช่วยป้องกันรังสียูวีได้ 100% ลงทุนซื้อแว่นกันแดดที่เหมาะสมที่ช่วยปกป้องดวงตาของเราจากรังสียูวีของดวงอาทิตย์ การรับแสงยูวีมากเกินไปจะเพิ่มโอกาสในการเป็นต้อกระจกได้ ให้มองหาแว่นกันแดดที่มีการป้องกันรังวี UVA และ UVB 99-100%
  • ทิ้งเครื่องสำอางเก่า ๆ รู้หรือไม่ว่าแบคทีเรียเติบโตได้อย่างรวดเร็วหากใช้เครื่องสำอางเก่าที่มีอายุนานเกินไป เปลี่ยนเครื่องสำอางทุก ๆ 3 เดือนเพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อในดวงตา อย่าใช้เครื่องสำอางร่วมกับผู้อื่น และทำความสะอาดใบหน้าให้เรียบก่อนทั้งก่อนและหลังแต่งหน้า
  • ตรวจสุขภาพดวงตาทุกปี ทุกคนควรได้รับการตรวจสุขภาพดวงตาเป็นประจำ จักษุแพทย์จะทำการตรวจโดยรวมเกี่ยวกับดวงตาของเรา การตรวจสุขภาพและประวัติครอบครัวเกี่ยวกับโรคตา เช่น โรคต้อหิน หรือการเสื่อมสภาพของจอประสาทตา การตรวจวัดสายตา การตรวจสอบจอประสาทตา การทดสอบการหักเหของแสงเพื่อกำหนดความคมชัดในการมองเห็นระยะใกล้ ทุกคนที่มีอาการหรือประวัติครอบครัวเป็นโรคเกี่ยวกับดวงตา โรคเบาหวาน หรือความดันโลหิตสูงควรมีการตรวจตาเป็นประจำ
  • รับประทานอาหารเสริมบำรุงสายตา สารอาหารบางอย่างสามารถช่วยรักษาสุขภาพสายตา ป้องกันแสงที่เป็นอันตราย และลดการพัฒนาของโรคความเสื่อมของดวงตาที่เกี่ยวข้องกับอายุได้ การวิจัยพบว่า กลุ่มคนที่ได้รับวิตามินและแร่ธาตุจากอาหารเสริมมีความเสี่ยงต่อการเสื่อมสภาพของดวงตาลดลงร้อยละ 25 แนะนำให้รับประทานอาหารเสริมที่อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีนและสารต้านอนุมูลอิสระอย่างดีคอนแทค ซึ่งเป็นอาหารเสริมที่มีส่วนประกอบจากผลไม้ตระกูลเบอร์รี่หลากชนิดเป็นหลัก เลือกอาหารเสริมที่ได้รับการรับรองและเชื่อถือได้ การทานอาหารเสริมดีคอนแทค

ตอบโจทย์ในเรื่องของการบำรุงสายตาได้ดีมากสำหรับผู้สูงอายุและผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับดวงตา การพึ่งอาหารเสริมจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น เพื่อทดแทนสารอาหารที่อาจไม่ได้รับในชีวิตประจำวัน

ในชีวิตประจำวัน ทุกคนมีการใช้สายตาอย่างหนักโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นการจ้องคอมพิวเตอร์นาน ๆ เล่นโทรศัพท์มือถือเป็นประจำ โดยเฉพาะช่วงที่มีล็อกดาวน์การโรคระบาด มีงานวิจัยพบว่า หลายคนใช้สายตาหนักมากขึ้นในช่วงนี้ การรับประทานอาหารเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอต่อการบำรุงสายตา การรับประทานอาหารเสริมดีคอนแทคที่อุดมไปด้วยสารอาหารทดแทนในการบำรุงสายตาช่วยได้มาก บวกกับการพักสายตาทุก ๆ 20 นาที ก็จะสังเกตเห็นผลลัพธ์ได้ว่า ตาแห้งน้อยลง ไม่ปวดตา ไม่ปวดหัว และยังช่วยให้สุขภาพตาเสื่อมช้าลงอีกด้วย

ข้อมูลจาก : https://d-contact-shop.com/eye-health-tips