แบตเตอรี่รถยนต์ มีกี่ประเภท
ปัจจุบันนี้แบตเตอรี่รถยนต์มีให้เลือกมากมายหลายแบรนด์แตกต่างกันไป แต่ทุกแบรนด์จะมี 3 ประเภทที่เหมือนกันก็ คือ แบตเตอรี่น้ำ แบตเตอรี่แบบดั้งเดิม มีราคาถูกที่สุด แบตเตอรี่ชนิดนี้มีการสูญเสียน้ำค่อนข้างสูง ต้องดูแลเรื่องการเช็คน้ำกลั่นอยู่บ่อยๆ อาจมากถึงสัปดาห์ละครั้ง หากลืมเติมน้ำกลั่นจนแบตแห้ง จะทำให้อายุการใช้งานของแบตสั้นลง แต่เรื่องนี้ไม่เป็นปัญหาสำหรับคนที่ดูแลรถอย่างสม่ำเสมอ จุดสังเกตของแบตชนิดนี้จะมีรูเติมน้ำกลั่นโผล่ให้เห็นชัดเจน และสามารถหมุนเปิดได้ด้วยมือเปล่า แบตเตอรี่กึ่งแห้ง เป็นเบตเตอรี่ที่ให้ความสะดวกสบายระดับหนึ่ง แต่ก็ยังต้องเติมน้ำกลั่นอยู่บ้าง ประมาณ 6 เดือนก็ควรจะเช็คบ้างสักครั้งหนึ่ง วิธีสังเกตคือจะยังมีรูเติมน้ำกลั่นให้เห็นแต่จะเรียบราบไปกับตัวแบตเตอรี่ มีช่องให้ใส่เหรียญขันออมาได้ โดยมากน้ำจะเริ่มหมดตอนที่แบตใกล้จะเสื่อมแล้ว ราคาอยู่ที่กลางๆ แบตเตอรี่แห้ง สำหรับใครที่ไม่ค่อยมีเวลาดูแลรถ แบตเตอรี่แห้ง ถือว่าเพิ่มสะดวกสบายได้มาก เพราะแบตเตอรี่ชนิดนี้ไม่ต้องเติมน้ำกลั่นเลยตลอดอายุการใช้งาน ซึ่งจะมีการเติมน้ำกรด และชาร์จไฟ มาให้เรียบร้อยแล้วจากโรงงาน วิธีสังเกตของแบตเตอรี่ชนิดนี้คือ จะไม่มีรูเติมน้ำกลั่นให้เห็นเลย และราคาก็จะแพงที่สุดอาการที่แสดงว่า แบตเตอรี่เสื่อม
โดยทั่วไปแบตเตอรี่รถยนต์มีอายุการใช้งานประมาณ 18 เดือน หรือปีครึ่ง แต่ถ้าใครใช้ยาวถึง 2 ปี ก็นับว่าเฮงสุดๆ โดยจะสามารถสังเกตแบตเสื่อมได้จากอาการเหล่านี้- สตาร์ทติดยาก
- น้ำกลั่นหมดเร็วกว่าปกติ
- ไฟหน้าไม่สว่างเหมือนเดิม
- กระจกไฟฟ้าเลื่อนขึ้น-ลง ช้า
วิธีดูแลแบตเตอรี่รถยนต์ให้ยืนยาว
เมื่อได้แบตเตอรี่รถยนต์ลูกใหม่มาแล้ว เพื่อให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนานก็ควรหมั่นดูแลแบตเตอรี่ตามขั้นตอนดังนี้- ทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่ด้วยน้ำอุ่นอยู่เสมอ
- ทาวาสลินที่ขั้วแบตเตอรี่ เพื่อป้องกับคราบขี้เกลือ
- ไม่ปล่อยให้น้ำกลั่นแห้ง ควรเติมในระดับที่กำหนดไว้