ดวงตา ปัญหาสายตา เรียนออนไลน์

6 ทริคพ่อแม่ควรรู้ ดูแลสายตาลูกให้ปลอดภัยจากการ เรียนออนไลน์

เด็ก ๆ ต้องใช้เวลาไปกับหน้าจอดิจิทัล อาทิ  แท็บเล็ต และสมาร์ทโฟน มากกว่าปกติเป็นเวลาหลายชั่วโมงต่อวัน เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาทางด้านสายตาและสุขภาพตา เพราะแสงสีน้ำเงิน (Blue light)

Home / HEALTH / 6 ทริคพ่อแม่ควรรู้ ดูแลสายตาลูกให้ปลอดภัยจากการ เรียนออนไลน์

จากสถานการร์โควิด-19 ทำให้เด็กนักเรียน นักศึกษา ต้องปรับการเรียนเป็น เรียนออนไลน์ มากขึ้น ทำให้เด็ก ๆ ต้องใช้เวลาไปกับหน้าจอดิจิทัล อาทิ  แท็บเล็ต และสมาร์ทโฟน มากกว่าปกติเป็นเวลาหลายชั่วโมงต่อวัน เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาทางด้านสายตาและสุขภาพตา เพราะแสงสีน้ำเงิน (Blue light) จากอุปกรณ์ดิจิทัลต่าง ๆ health.mthai มีคำแนะนำดี ๆ มาให้สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่อาจจะมองข้ามเรื่องนี้กันไป จะดูแลลูก ๆ อย่างไรได้บ้างเพื่อไม่ให้เสียสุขภาพสายตา

เรียนออนไลน์ ปัญหาอันตรายแสงสีน้ำเงิน ส่งผลต่อสุขภาพตาของเด็ก

แสงสีน้ำเงิน (Blue light) จากอุปกรณ์ดิจิทัลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโน้ตบุ๊ค แท็บเล็ต และสมาร์ทโฟน อาจเป็นอันตรายต่อดวงตาของเด็กๆ การเล่นอุปกรณ์เหล่านี้เป็นเวลานาน จะนำมาซึ่งปัญหาและผลกระทบต่อเด็กทั้งในระยะสั้นและระยะยาว อาทิ

ภาวะตาล้า (Digital Eye Strain) : เกิดจากการจ้องจอมากเกินไปเป็นระยะเวลานานๆ ก็จะทำให้การหดตัวของกล้ามเนื้อเล็กๆ ในตาหดตัวเกือบตลอดเวลาทำให้มีอาการตาล้า จึงเป็นที่มาของการมองเห็นที่พร่ามัวชั่วคราว

โรคจอประสาทตาเสื่อม (AMD)  : โดยแสงสีน้ำเงินจากอุปกรณ์ดิจิทัล จะกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งจะทำลายเซลล์ประสาทตา หากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานอาจเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมได้

โรคสายตาสั้นมาก (pathological myopia) : การเพ่งอยู่หน้าจอเป็นระยะเวลานานกว่า 2.5 ช.ม ต่อวัน โดยเฉพาะในระยะน้อยกว่า 20 ซ.ม นานกว่า 45 นาที เป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะสายตาสั้นได้เร็วและมากขึ้นในเด็ก อีกทั้งยังทำให้เสียบุคลิกภาพเพราะต้องหยีตาตลอดเมื่อมองไม่ชัด

เพื่อเป็นการปกป้องไม่ให้สายตาของลูกเสียก่อนวัยอันควร มีข้อแนะนำดี ๆ จาก เอสซีลอร์ สำหรับคุณพ่อคุณแม่มาฝากกัน

เลนส์ Blue UV Capture ของเอสซีลอร์

ภาพ: เมญ่า-นนธวรรณ บรามาซ มิสไทยแลนด์เวิลด์ 2014

1. เลือกใช้แว่นตาที่มีเลนส์กรองแสงสีน้ำเงิน

การเลือกใช้แว่นตาที่มีเทคโนโลยีกรองแสงสีน้ำเงิน ช่วยถนอมดวงตาของเด็กและลดความเสี่ยงจากโอกาสการเกิดปัญหาทางสายตาที่รุนแรงขึ้นในอนาคต เลนส์เอสซีลอร์ Blue UV Capture นวัตกรรมกรองแสงสีน้ำเงินชนิดอันตรายในเนื้อเลนส์แต่ปล่อยช่วงแสงที่มีประโยชน์ผ่านเข้ามา เลนส์ Blue UV Capture สามารถปกป้องดวงตามากกว่าเลนส์ใสทั่วไป 3 เท่า รวมถึงป้องกันรังสียูวีทั้งด้านหน้าและด้านหลังของเลนส์มากถึง 35 เท่า เลนส์แว่นตาแม้ใช้เพียงปกป้องดวงตาโดยไม่มีค่าสายตาเพื่อแก้ไขการมองเห็น ก็ควรเลือกเลนส์คุณภาพเพื่อถนอมดวงตาของลูกน้อยในระยะยาว

2. ใช้จอคอมพิวเตอร์ที่เหมาะสมและปรับแสงสว่างหน้าจอให้พอเหมาะ

พ่อแม่ควรเลือกจอคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดมากกว่า 19 นิ้ว และเป็นจอที่กันแสงสะท้อน เพราะถ้ามีแสงสะท้อนจะทำให้รู้สึกไม่สบายตา และที่สำคัญควรปรับสภาพแวดล้อม แสงสว่างโดยรอบให้พอดี เพื่อลดความสว่างของหน้าจอไม่มืดหรือสว่างจนเกินไป และควรจัดแสงจากภายนอกให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ไม่ให้แยงตาโดยตรงเพราะจะทำให้ตาล้ามากขึ้น

3. กำหนดระยะห่างระหว่างสายตากับหน้าจอ

ระยะห่างที่พอเหมาะสำหรับอุปกรณ์ดิจิทัลจะทำให้ลูกของคุณไม่ต้องใช้กำลังโฟกัสของตามากเกินไปจนเกิดอาการล้าของตาได้ หากใช้แทบเล็ตหรือหน้าจอมือถือควรห่างประมาณ 1 ฟุต ถ้าเป็นคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะควรห่างประมาณ 2 ฟุต ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ควรจัดระยะห่างให้เหมาะสม เพื่อสุขภาพสายตาที่ดีสำหรับลูกๆ รวมถึงคุณพ่อคุณแม่เองด้วย

4. ปรับขนาดตัวอักษรบนหน้าจอดิจิทัล ไม่ให้มีขนาดเล็กจนเกินไป

ขนาดตัวอักษรที่ทำให้อ่านได้สบายตาในเวลานาน ๆ จะต้องมีขนาดอย่างน้อย 3 เท่าของขนาดที่เล็กที่สุดที่สามารถอ่านได้ในระยะนั้น

5. พักสายตาด้วยเทคนิค 20-20-20

พ่อแม่ควรฝึกให้ลูกรู้จักพักสาตา ด้วยเทคนิค 20-20-20 คือทุก 20 นาทีในการจ้องหน้าจออุปกรณ์ดิจิทัลต่างๆ ควรพักสายตา 20 วินาที โดยมองออกไปไกล 20 ฟุต เพื่อช่วยให้ดวงตามีการเปลี่ยนระยะโฟกัสและผ่อนคลาย ซึ่งในระหว่างนี้ผู้ปกครองอาจให้เด็กๆ ได้พักจากหน้าจอลุกยืดเส้นยืดสายด้วย เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อส่วนอื่น ๆ ของร่างกายไปพร้อมกัน

6. ตรวจสุขภาพตาเป็นประจำอย่างน้อยปีละครั้ง

นอกเหนือจากการดูแลปกป้องดวงตาของเด็กๆแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพ่อแม่ควรพาลูกไปตรวจสุขภาพตาเป็นประจำอย่างน้อยปีละครั้ง เพราะการมองเห็นคือสิ่งสำคัญ เราจึงไม่ควรมองข้ามการตรวจดวงตา เพราะโรคทางตาหลายโรคที่จะไม่แสดงอาการจนกว่าจะเข้าสู่ระยะรุนแรงแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นก็อาจสายเกินกว่าจะรักษาให้เป็นปกติได้