กรมควบคุมโรค รายงานข่าวว่าพบผู้ป่วยโรคหัดในประเทศไทยเพิ่มขึ้น ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 14 ต.ค.2562 พบผู้ป่วยโรคหัด 4,582 คน เสียชีวิต 17 คน โดยจังหวัดที่มีอัตราป่วยสูงสุด 3 อันดับแรก คือ นราธิวาส เพชรบุรี ปัตตานี โดยพบมาในโรงเรียน โรงงาน และเรือนจำ โรคหัดเกิดจากเชื้อไวรัส Measles ซึ่งเป็นโรคที่ติดต่อกันได้ง่ายมากโดยการไอ จาม หรือพูดใกล้ๆในระยะใกล้ชิด ทั้งนี้โรคหัดสามารถป้องกันได้ด้วยการฉีด วัคซีนป้องกันโรคหัด
อาการของโรคหัด
- ไข้ออกผื่น
- มักมีอาการไข้สูงประมาณ 3 – 4 วัน
- มีผื่นนูนแดงขึ้น โดยผื่นเริ่มขึ้นจากหลังหูแล้วลามไปยังใบหน้าบริเวณชิดขอบผม แล้วแพร่กระจายไปตามลำตัว แขน ขา
- เมื่อผื่นแพร่กระจายทั่วตัว ประมาณ 2 – 3 วัน ไข้จะค่อยๆ ลดลง และผื่นก็จะค่อย ๆ จางหายไป ผิวหนังบริเวณที่เป็นผื่นมากอาจจะลอกเป็นขุย หรือเปลี่ยนเป็นสีคล้ำขึ้นได้
ส่วนภาวะแทรกซ้อนที่อาจพบได้ คือ คออักเสบ หลอดลมอักเสบจนถึงปอดบวม หูชั้นกลางอักเสบ เยื่อบุตาอักเสบ ท้องเสีย และสมองอักเสบซึ่งเป็นภาวะที่รุนแรงที่สุด หากป่วยด้วยโรคหัดหรือสงสัยว่าเป็นโรคหัดควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย
ข้อสังเกตสำหรับผู้ใหญ่ที่มีภูมิคุ้มกันโรคหัด
- เคยเป็นโรคหัดแล้ว
- รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัดครบ 2 เข็ม
- เคยเจาะเลือดเพื่อตรวจภูมิคุ้มกันเชื้อไวรัสหัด แล้วพบว่ามีภูมิในระดับที่สามารถป้องกันโรคได้
กรมควบคุมโรคจึงรณรงค์ให้ฉีด วัคซีนป้องกันโรคหัด ซึ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคได้มากกว่า 95% โรคหัดมักจะเกิดขึ้นในเด็กพบมากที่สุดคือช่วงอายุ 0-4 ปี ทั้งนี้โรคหัดสามารถป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีนรวมป้องกันโรคหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน เข็มแรกเมื่อตอนอายุ 9 เดือน และเข็มที่สองเมื่ออายุ 2 ขวบครึ่ง หากพบว่าบุตรหลานยังรับวัคซีนไม่ครบตามเกณฑ์ ผู้ปกครองสามารถพาไปรับวัคซีนได้ที่สถานบริการสาธารณสุขของรัฐทุกแห่ง ทั้งนี้สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422