Mercedes-AMG Mercedes-AMG GT 63 S 4MATIC+ 4-Door Coupé Mercedes-AMG GT C Roadster Mercedes-Benz รถใหม่ เมอร์เซเดส-เบนซ์ เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี

Mercedes-AMG GT C Roadster & GT 63 S 4MATIC+ อันลือชื่อมาถึงไทยแล้ว

บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด รุกสร้างสีสันตลาดรถยนต์สมรรถนะสูง อย่างต่อเนื่องเปิดตัวรถยนต์สายพันธุ์แรงโฉมใหม่พร้อมกันสองรุ่นอย่าง Mercedes-AMG GT C Roadster ยนตรกรรมสปอร์ตโรดสเตอร์ที่มีสมรรถนะดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของ เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี นำเสนอในราคา 17,190,000 บาท…

Home / AUTO / Mercedes-AMG GT C Roadster & GT 63 S 4MATIC+ อันลือชื่อมาถึงไทยแล้ว

บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด รุกสร้างสีสันตลาดรถยนต์สมรรถนะสูง อย่างต่อเนื่องเปิดตัวรถยนต์สายพันธุ์แรงโฉมใหม่พร้อมกันสองรุ่นอย่าง Mercedes-AMG GT C Roadster ยนตรกรรมสปอร์ตโรดสเตอร์ที่มีสมรรถนะดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของ เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี นำเสนอในราคา 17,190,000 บาท และ Mercedes-AMG GT 63 S 4MATIC+ 4-Door Coupé ที่เป็นส่วนผสมที่ลงตัวของความสะดวกสบาย ความเร้าใจ และสมรรถนะที่ยอดเยี่ยมเพื่อการขับขี่ในทุกสถานการณ์ นำเสนอในราคา 14,990,000 บาท ผู้ที่สนใจสามารถเยี่ยมชมพร้อมสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ผู้จำหน่ายรถยนต์ Mercedes-AMG อย่างเป็นทางการทั้ง 14 แห่งทั่วประเทศ

Mercedes-AMG GT C Roadster โฉมใหม่

Mercedes-AMG GT C Roadster

ดีไซน์ภายนอก มีการเสริมสปอยเลอร์หลังที่ใหญ่ขึ้นเพื่อรองรับการขับขี่ในสนามแข่งรถยนต์ที่มีช่องทางวิ่งกว้าง, ล้อหลังถูกปรับให้ใหญ่ขึ้นเพื่อรองรับนวัตกรรมต่างๆ ที่เพลาหลัง และ เพิ่มประสิทธิภาพขณะเข้าโค้งและเสริมการยึดเกาะ, กระจังหน้าแบบ AMG-specific radiator trim เอเอ็มจี มีวัสดุบังคับลมชุบโครเมี่ยม 15 ซี่เช่นเดียวกับรถแข่งรุ่น Mercedes-AMG GT 3

Mercedes-AMG GT C Roadster

ฝากระโปรงหน้ายาวและทรงพลัง ทำให้รถดูกว้างขวาง อีกทั้งยังมีช่องรับอากาศที่กว้าง ช่วยให้อากาศไหลผ่านเข้าสู่ระบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งช่องรับอากาศนี้สามารถเปิดหรือปิดตัวเองได้อัตโนมัติตามความเร็วของรถยนต์ที่ผู้ขับขี่กำหนดเอง นอกจากนั้นยังมีหลังคาผ้าใบ 3 ชั้นที่มีผิวสัมผัสนุ่ม มีโครงสร้างเป็นโลหะผสมแมกนีเซียมและอะลูมิเนียมที่มีน้ำหนักเบา โดยสามารถกางเปิดหรือเลื่อนปิดได้อัตโนมัติภายในเวลา 11 วินาที และใช้งานได้แม้ขณะรถวิ่งที่ความเร็วสูงสุดที่ 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

Mercedes-AMG GT C Roadster

ดีไซน์ภายใน มาพร้อมกับเบาะหนัง Nappa ที่อยู่ต่ำเพื่อช่วยโอบล้อมผู้ขับขี่ให้รู้สึกราวกับอยู่ในรถแข่ง, พวงมาลัยเอเอ็มจีเพอร์ฟอร์มานซ์หุ้มหนัง Nappa และ เส้นใย DINAMICA Microfibre พร้อมหน้าจอแสดงผลบนพวงมาลัยจำนวน 2 หน้าจอแบบ AMG steering wheel buttons ลงตัวด้วยหน้าจอเรือนไมล์แบบ all-digital instrument display ขนาด 12.3 นิ้ว

Mercedes-AMG GT C Roadster

หรือสามารถสร้างความโดดเด่นให้มากยิ่งขึ้นด้วยชุดเบาะเสริมแบบเอเอ็มจีเพอร์ฟอร์มานซ์ ที่สามารถปกป้องร่างกายของผู้ขับขี่และผู้โดยสารทั้งด้านหน้าและด้านหลังได้มากขึ้นด้วยพนักพิงหลังที่มีความโค้งและเสริมด้วยวัสดุเพื่อความนุ่มสบายที่ด้านข้างมากกว่าเบาะที่นั่งแบบมาตรฐาน

Mercedes-AMG GT C Roadster

แผงหน้าปัดกว้างดีไซน์ใหม่ด้วยอัตราส่วนแบบ 16:9 ขนาด 10.15 นิ้ว ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการแบบ COMAND Online แผงควบคุมตรงกลางมีหน้าจอแสดงผลมากถึง 8 จอบริเวณคอนโซลกลางแบบ AMG DRIVE UNIT ที่ออกแบบตามลักษณะเครื่องยนต์แบบ V8 ทำให้ทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารรู้สึกราวกับถูกโอบล้อมด้วยปีกนก และห้องโดยสารที่สามารถเปลี่ยนสีได้หลากหลายเพื่อเพิ่มสุนทรียะในการขับขี่

Mercedes-AMG GT C Roadster

นวัตกรรมและเทคโนโลยี ฝากระโปรงหน้าผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์และวัสดุ SMC (Sheet Moulding Compound) ที่ถูกพัฒนาขึ้นเป็นพิเศษโดยทีมงานของ Mercedes-Benz TEC (เมอร์เซเดส-เบนซ์ ทีอีซี) และผู้เชี่ยวชาญของเอเอ็มจี ทำให้ฝากระโปรงรถมีน้ำหนักเบา แต่ยังคงไว้ซึ่งความทนทานและแข็งแรง, ระบบช่วงล่างเอเอ็มจีไรด์คอนโทรลแบบสปอร์ต (AMG RIDE CONTROL Sports Suspension) ของทั้ง 4 ล้อมีทั้งปีกนก แกนบังคับเลี้ยวและโครงฐานคุมล้อ (hub carrier) ที่หล่อจากอะลูมิเนียมเพื่อลดน้ำหนักที่ไม่จำเป็น โดยล้อทั้ง 4 จะถูกควบคุมโดยกลไกปีกนกแบบ 2 ชั้น เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการหมุนของล้อ และการเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง

Mercedes-AMG GT C Roadster

Mercedes-AMG GT C Roadster โฉมใหม่ มาพร้อมกับระบบ AMG DYNAMIC SELECT ที่ผู้ขับขี่สามารถเลือกโหมดของเกียร์หลักได้ 5 แบบ คือ “C” (Comfort) สำหรับการขับขี่ ในชีวิตประจำวัน ช่วยให้ผู้ขับขี่รู้สึกผ่อนคลายและสะดวกสบาย, “S” (Sport) และ “S+” (Sport Plus) เน้นความเร้าใจในการขับขี่ให้มากยิ่งขึ้น และ “I” (Individual) ที่สามารถช่วย จดจำรูปแบบการขับขี่ของผู้ขับได้ อีกทั้งยังมีโหมด “RACE” ที่เป็นโหมดเสริมสำหรับผู้ขับขี่ ที่ต้องการความแรงและเกียร์ที่เปลี่ยนได้รวดเร็วเหมือนอยู่ในสนามแข่งรถ ซึ่งจะมาพร้อมกับเสียงเครื่องยนต์ที่เร้าอารมณ์

Mercedes-AMG GT C Roadster

ทั้งนี้ผู้ขับขี่สามารถสร้างข้อกำหนดทั้งหมดในแต่ละโหมดการขับขี่เองได้ด้วยการกดปุ่ม “M” (Manual) ที่อยู่ตรงกลางแผงควบคุม, ระบบเพลาหลังแบบแอคทีฟ (active rear axle steering) ที่จะหมุนเพลาล้อคู่หลังไปในทิศทางตรงกันข้ามกับเพลาล้อคู่หน้าเมื่อใช้ความเร็วสูงสุด 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อช่วยให้เข้าโค้งได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น และประหยัดแรงในการหมุนพวงมาลัย แต่หากความเร็วสูงสุดเกิน 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป ทั้งล้อคู่หน้าและหลังจะหมุนไปในทิศทางเดียวกันเพื่อเสริมสมดุลให้กับตัวรถ ทำให้ท้ายรถไม่ปัดเมื่อหักเลี้ยว

Mercedes-AMG GT C Roadster

Mercedes-AMG GT C Roadster โฉมใหม่ มาพร้อมกับเครื่องยนต์ V8 เทอร์โบคู่ ความจุกระบอกสูบ 4 ลิตร ระบบไดเรค อินเจคชั่น และระบบเกียร์แบบคลัทช์คู่ 7 สปีด (seven-speed dual clutch transmission) ที่ช่วยทำให้รถมีความคล่องตัวยิ่งขึ้น และการตอบสนองของระบบเกียร์จะดีขึ้นตามจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ของผู้ขับขี่ ให้สมรรถนะสูงสุด 557 แรงม้า ที่ 5,750-6,750 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 680 นิวตันเมตร ที่ 2,100-5,500 รอบ/นาที ให้อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ที่ 3.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 316 กม./ชม.

Mercedes-AMG GT 63 S 4MATIC+ 4-Door Coupé โฉมใหม่

Mercedes-AMG GT 63 S 4MATIC+ 4-Door Coupé

ดีไซน์ภายนอก ของ Mercedes-AMG GT 63 S 4MATIC+ 4-Door Coupé เป็นรถสปอร์ต 4 ประตูที่มีรากฐานมาจากทั้งรถยนต์ตระกูล SLS และ AMG GT, กระจังหน้าแบบ AMG-Specific radiator grille พร้อมตราสัญลักษณ์เมอร์เซเดส-เบนซ์, aerofoil ที่สามารถ ยืดและหดได้ด้วยระบบไฟฟ้า, หลังคาซันรูฟเลื่อนเปิด-ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า

Mercedes-AMG GT 63 S 4MATIC+ 4-Door Coupé

อีกทั้งยังมีดิสก์เบรก AMG high-performance ท่อไอเสียคู่แบบ Two round twin tailpipe เฉพาะของ AMG และล้ออัลลอย AMG น้ำหนักเบาขนาด 20 นิ้ว 5 ก้านคู่ และระบบไฟหน้าแบบ MULTIBEAM LED ที่มีหลอดไฟ LED 84 หลอดต่อข้างเทคโนโลยีขั้นสูงที่ช่วยให้ทัศนวิสัยการขับขี่ยามค่ำคืนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยสูงสุด

Mercedes-AMG GT 63 S 4MATIC+ 4-Door Coupé

ดีไซน์ภายใน เหมาะสมกับการใช้งานหลากหลายรูปแบบ หน้าจอแบบ Widescreen cockpit ขนาด 12.3 นิ้ว จำนวน 2 หน้าจอ ที่มาพร้อมกับระบบ COMAND Online ที่มีฟังก์ชันเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือระบบปฏิบัติการ Apple CarPlay™ และ Android Auto, พวงมาลัยแบบ AMG Performance สปอร์ตท้ายตัดหุ้มหนัง nappa และ Touchpad แบบใหม่ที่สะดวกสบาย ยิ่งกว่าเดิม และระบบเสียงรอบทิศทาง Burmester ® surround sound system โดย Mercedes-AMG GT 63 S 4MATIC+ 4-Door Coupé มาพร้อมเบาะที่นั่งด้านหน้าแบบ AMG Performance seats ที่สามารถปรับให้กระชับกับสรีระ เพิ่มความสบายแต่แฝงด้วย ความสปอร์ตอย่างลงตัว

Mercedes-AMG GT 63 S 4MATIC+ 4-Door Coupé

เบาะด้านหลังตกแต่งด้วยหนังสุดหรูระดับไฮ-คลาส พร้อมที่นั่งเดี่ยว ที่ให้ความรู้สึกสบายและผ่อนคลาย เสมือนนั่งอยู่บนเครื่องบินชั้นธุรกิจ นวัตกรรมและเทคโนโลยี ของ Mercedes-AMG GT 63 S 4MATIC+ 4-Door Coupé ใช้เครื่องยนต์เบนซินแบบ V8 BITURBO ที่ให้พละกำลังสูงสุดถึง 639 แรงม้ายังมาพร้อมกับระบบควบคุมการเลี้ยวด้วยล้อหลัง (AMG Rear Axle Steering) AMG DYNAMIC PLUS package ที่ช่วยเสริมพลศาสตร์ยานยนต์และลักษณะรถยนต์แบบสปอร์ต

Mercedes-AMG GT 63 S 4MATIC+ 4-Door Coupé

นอกจากยางรอง แท่นเครื่องยนต์และที่ยึดเกียร์แบบไดนามิกแล้ว แพ็กเกจดังกล่าวยังมีระบบกันสะเทือน แบบสปอร์ตที่ปรับให้แน่นขึ้น สามารถปรับได้ 3 ระดับตามสไตล์การขับขี่และสภาพถนน, ระบบ AMG DYNAMIC SELECT ที่สามารถปรับได้ 3 โหมด คือ Sport, Sport+ และ Individual, ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Adaptive Highbeam Assist Plus), ระบบ Active Braking Assist ที่ช่วยหลีกเลี่ยงการชนกับรถยนต์คันอื่น หรือคนเดินถนนในบริเวณทางแยก, ระบบกุญแจรถยนต์แบบ KEYLESS-GO และระบบช่วยนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ (Active Parking Assist) ที่มาพร้อมกับกล้อง 360 องศา

Mercedes-AMG GT 63 S 4MATIC+ 4-Door Coupé

Mercedes-AMG GT 63 S 4MATIC+ 4-Door Coupé โฉมใหม่ มาพร้อมกับเครื่องยนต์ V8 เทอร์โบคู่ ความจุกระบอกสูบ 4 ลิตร ให้สมรรถนะสูงสุด 639 แรงม้า ที่ 5,500-6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 900 นิวตันเมตร ที่ 2,500-4,500 รอบ/นาที ให้อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ที่ 3.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 315 กม./ชม.

Mercedes-AMG GT 63 S 4MATIC+ 4-Door Coupé

พร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติ AMG SPEEDSHIFT TCT 9-speed ที่มีชุดคำสั่งเฉพาะที่ช่วยให้ระยะทดกำลังเมื่อเปลี่ยนเกียร์สั้นที่สุด ซึ่งทำให้ความเร็วของรถเพิ่มขึ้นได้เร็วกว่าเดิม โดยเฉพาะเมื่อขับขี่ในโหมด Sport+ และโหมดกำหนดเอง